นักวิทย์เตือน ทั่วโลกเข้าใจ ‘เน็ตซีโร่’ ผิด ทำให้ตายก็ไม่ช่วยแก้ ‘โลกร้อน’

จากการศึกษาวิจัยครั้งใหม่ นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศที่มีชื่อเสียงระบุว่า ประเทศต่างๆ กำลังใช้การคำนวณคาร์บอนที่ผิดพลาด โดยพึ่งพาต้นไม้และมหาสมุทรมากเกินไปในการดูดซับคาร์บอนที่ปล่อยออกมาใหม่
เมื่อต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ผู้แทนจาก 197 ประเทศทำการตกลงเกี่ยวกับกฎใหม่ที่ควบคุมวิธีการซื้อและขายเครดิตเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน แต่ในขณะเดียวกัน ศ.ไมล์ส อัลเลน จากภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ผู้ให้คำจำกัดความของ “การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์” หรือ “เน็ตซีโร่” (Net Zero) ในปี 2552 กลับพบว่ามีการคำนวณที่ผิดพลาด และอาจไม่ได้เป็นไปตามที่เราตั้งใจไว้
ในการศึกษาวิจัยที่นำโดยภาควิชาฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและตีพิมพ์ในวารสาร Nature แสดงให้เห็นว่าการพึ่งพา “แหล่งดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติ” เช่น ป่าไม้และมหาสมุทร เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถหยุดยั้งภาวะโลกร้อนได้จริง
การแลกเปลี่ยนคาร์บอนที่ตลาดคาร์บอนเข้าใจโดยทั่วไป จะระบุว่า ถ้าป่าดูดคาร์บอนได้ 1 ตัน ก็จะสามารถแลกเปลี่ยนกับคาร์บอน 1 ตันที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศได้ แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น อาจทำให้ความพยายามลดก๊าซคาร์บอน และการเข้าสู่เน็ตซีโร่ไร้ความหมาย เพราะตามการให้คำนิยามของเน็ตซีโร่เมื่อ 15 ปีก่อนไม่ได้รวมแหล่งดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติไว้ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์
แหล่งดูดซับตามธรรมชาติมีบทบาทสำคัญในการลดผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปัจจุบัน และลดความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศหลังจากวันที่เข้าสู่ยุคเน็ตซีโร่ ส่งผลให้อุณหภูมิโลกคงที่ ซึ่งทำให้รัฐบาลและบริษัทต่าง ๆ หันมาใช้แหล่งดูดซับตามธรรมชาติ เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น แทนที่จะลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล หรือพัฒนาวิธีการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์แบบถาวรมากขึ้น
ผู้เขียนเรียกร้องให้รัฐบาลและบริษัทต่าง ๆ ชี้แจงว่าพวกเขาพึ่งพาแหล่งดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติมากเพียงใดในบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งตระหนักถึงความจำเป็นของ “ระดับสุทธิเป็นศูนย์ทางธรณีวิทยา” (Geological Net Zero) ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างการไหลของคาร์บอนเข้าและออกในชั้นธรณีวิทยา โดยให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 1 ตันถูกกักเก็บทางธรณีวิทยา สำหรับทุกตันที่ยังคงเกิดขึ้นจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่อง
เมื่อพิจารณาถึงต้นทุนและความท้าทายของการกักเก็บก๊าซคาร์บอนทางธรณีวิทยาอย่างถาวร ดังนั้นการบรรลุเป้าหมายระดับสุทธิเป็นศูนย์ทางธรณีวิทยาจะต้องใช้ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างมาก
นอกจากนี้ ผู้เขียนเน้นย้ำถึงการปกป้องและรักษาแหล่งดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติ โดยยอมรับว่าการทำเช่นนี้ไม่สามารถชดเชยการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เกิดขึ้นได้ และปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอดีตทั้งหมดจะเป็นตัวกำหนดว่าประเทศหรือบริษัทใดจะต้องรับผิดชอบแก้ปัญหาเหล่านี้
ศ.อัลเลน ผู้นำการศึกษานี้ สรุปว่า
“เราพึ่งพาป่าไม้และมหาสมุทรในการดูดซับก๊าซคาร์บอนในอดีตของเราอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล และเราไม่สามารถคาดหวังให้สิ่งเหล่านี้ชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอนาคตได้เช่นกัน หลังจากนี้เราจำเป็นการจับกักคาร์บอนออกจากอากาศและฝังไว้ใต้ดินอย่างถาวร”
ความสับสนนี้เกิดจากข้อเท็จจริงพื้นฐานเกี่ยวกับ “วัฏจักรคาร์บอนของโลก” ก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศไม่ได้คงอยู่ในชั้นบรรยากาศทั้งหมด โดยเฉลี่ยแล้วมีคาร์บอนไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่คงอยู่ในชั้นบรรยากาศ ส่วนที่เหลือจะไหลลงสู่พื้นดินและมหาสมุทร
เพื่อติดตามคาร์บอนทั้งหมด และหาวิธีกำจัดคาร์บอน นักวิทยาศาสตร์จึงแยกข้อมูลคาร์บอนไว้สองประเภท คือ การกำจัดคาร์บอนโดยแหล่งดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติ เช่น มหาสมุทรและป่า และการกำจัดคาร์บอนโดยมนุษย์ ซึ่งเน็ตซีโร่จะเกิดขึ้นได้จะต้องไม่นับรวมกับคาร์บอนที่ถูกกำจัดโดยธรรมชาติ
“ในแต่ละปี แหล่งดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติสามารถกำจัดคาร์บอนได้ประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมด แต่บริการระบบนิเวศนี้จะต้องแยกออกจากการปล่อยก๊าซฟอสซิลที่เป็นตัวการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ” ดร. เกล็น ปีเตอร์ส จากศูนย์วิจัยสภาพอากาศระหว่างประเทศของ CICERO ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นผู้เขียนร่วมของการศึกษาวิจัย กล่าว
อีกวิธีที่เชื่อว่าจะช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศได้ คือ การใช้ที่ดินที่มีการจัดการ (Managed Land) ซึ่งหากมีการพิสูจน์ว่าทำได้จริง นักวิทยาศาสตร์รวมเป็นวิธีการกำจัดก๊าซคาร์บอนได้ แต่ปัญหาคือ แต่ละประเทศไม่ได้มีมาตรฐานเดียวกัน และมักอ้างว่าพื้นดินทั้งหมดได้รับการจัดการแล้ว ซึ่งไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามลพิษที่ถูกกำจัดไปแล้วนั้นมีอยู่จริง หรือไม่ซ้ำกับปริมาณคาร์บอนที่ถูกกำจัดไปตามธรรมชาติ
นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบว่า การเก็บกักคาร์บอนใน “ชีวมณฑล” (Biosphere) ซึ่งเป็นบริเวณพื้นผิวและบรรยากาศของโลกที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ มีประสิทธิภาพต่ำกว่าการเก็บกักในชั้นธรณีวิทยา เพราะเราใช้ผืนดินที่มีจำกัดนี้ในการผลิตอาหาร กักเก็บน้ำ พักผ่อนหย่อนใจ อีกทั้งไฟป่าเกิดขึ้นบ่อยขึ้นในปัจจุบัน จนต้นไม้และผืนดินดูดซับคาร์บอนแทบไม่ได้เลย รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของประชากร และภัยแล้ง เมื่อผืนดินและน้ำไม่สามารถดูดซับคาร์บอนได้ ทำให้มีคาร์บอนจำนวนมากขึ้นที่ลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้ภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น
ศ.โจ เฮาส์ จากมหาวิทยาลัยบริสตอล สหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นผู้เขียนร่วมในการศึกษากล่าวว่า “การให้เครดิตคาร์บอนสำหรับกระบวนการทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นอยู่แล้วนั้น ทำลายความเชื่อมั่นในแนวคิดทั้งหมดของการชดเชย เราจำเป็นต้องปกป้องแหล่งดูดซับคาร์บอนตามธรรมชาติอย่างเร่งด่วน แต่มีวิธีอื่นที่น่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์และยุติธรรมกว่าการพึ่งพาตลาดการชดเชยคาร์บอนในการทำเช่นนี้”
ที่มา: Bloomberg, Japan Times, Phys







