'คนตัวเล็กรอด โลกก็รอด' ยกระดับบทบาทเอกชน พาคู่ค้าขนาดเล็กและชุมชนเติบโต

ในโลกที่ความท้าทายทางเศรษฐกิจดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความเข้มแข็งและการอยู่รอดของธุรกิจขนาดเล็กและชุมชนเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง เพราะเมื่อพวกเขารอด โลกก็จะอยู่รอดอย่างยั่งยืน
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ของประเทศไทยมีส่วนช่วยในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มากกว่าหนึ่งในสาม ธุรกิจเหล่านี้ไม่เพียงแค่มีส่วนช่วยใน GDP ของประเทศ แต่ยังสร้างโอกาสในการจ้างงานมากมาย ช่วยลดการว่างงานและปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพโดยรวม ซึ่ง SMEs ไทยโดดเด่นในหลายภาคส่วน เช่น การผลิต การบริการ อาหาร เกษตรกรรม และโรงแรมขนาดเล็ก
"ดร. ธันยพร กริชติทายาวุธ" ผู้อำนวยการสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT : UN Global Compact Network Thailand) กล่าวว่า ธุรกิจเอสเอ็มอีในประเทศไทยคิดเป็น 85% ของธุรกิจทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็นฐานรากของเศรษฐกิจ หากพวกเขามีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทใหญ่ต่างๆ ที่อยู่ในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ ธุรกิจขนาดใหญ่ก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย
ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลเศรษฐกิจฐานราก ต้องพัฒนานวัตกรรมให้ครอบคลุมไปถึงเอสเอ็มอี เพื่อให้พวกเขาสามารถแข่งขันได้ ซึ่งธุรกิจขนาดเล็กมักมีข้อจำกัดทางการเงินในการพัฒนานวัตกรรม ดังนั้นการพัฒนาร่วมกันระหว่างองค์กรใหญ่ รัฐบาล และธุรกิจเอสเอ็มอีจะช่วยให้ทุกคนในระบบเศรษฐกิจสามารถเติบโตไปพร้อมกัน
“ประเทศไทยมีข้อดีที่มีความเอื้ออาทรและมีกัลยาณมิตรในวงการธุรกิจ สอดคล้องกับโมเดลธุรกิจที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้าง ช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กมีโอกาสในการสร้างกำไรและลดความยากจน ซึ่งคนตัวเล็กในภาคธุรกิจมีความหมายครอบคุมหลากหลาย เช่น โลจิสติกส์ คนขับรถ โกดังสินค้า และอื่นๆ เราต้องมองหาวิธีที่คู่ค้าในซัพพลายเชนสามารถสนับสนุนกันและกันได้ เพื่อช่วยให้พวกเขาทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
สมาชิก UNGCNT เปลี่ยนวิธีคิด
UNGCNT มีสมาชิกทั้งหมด 139 บริษัท โดยเป็นธุรกิจจดทะเบียนในประเทศไทย และมีปฏิบัติการในประเทศไทย รวมถึงบริษัทข้ามชาติที่มีบริษัทลูกในประเทศไทย ซึ่งมาจากหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ตั้งแต่เกษตรกรรม พลาสติก ปิโตรเลียม อาหาร การท่องเที่ยว โรงแรม และบริการให้คำปรึกษา
"UNGCNT เชื่อว่า ธุรกิจไม่สามารถเติบโตได้ด้วยตนเองบนเส้นทางที่เน้นกำไรเพียงอย่างเดียว ดังนั้น จึงมุ่งเน้นให้องค์กรสมาชิก รวมถึงองค์กรทั่วไปเปลี่ยนวิธีคิดไปสู่โมเดลธุรกิจแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Business) ซึ่งจะตอบโจทย์ประชากรกลุ่มฐานรากของพีระมิดเศรษฐกิจให้มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ"
IB สร้างโอกาสในโซ่คุณค่า
Inclusive Business (IB) ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในปี 2005 โดย World Business Council for Sustainable Development หรือ WBCSD) เพื่อเสนอแนวทางในการยกระดับบทบาทของภาคเอกชนจากการทำกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ไปสู่การยกระดับรายได้ให้ชุมชน ผ่านการนำชุมชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโซ่คุณค่า
จากนั้นในปี 2015 แนวคิดนี้ก็ได้รับการรับรองนิยามและกรอบการดำเนินงานอย่างเป็นทางการโดย G20 ปัจจุบันแนวคิดธุรกิจ IB ได้รับการยอมรับจากประเทศสมาชิกอาเซียน ภายใต้กรอบธุรกิจแบบองค์รวมของอาเซียน (ASEAN Inclusive Business Framework)
“ภาคธุรกิจขนาดใหญ่สามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้ภาคธุรกิจขนาดเล็ก โดยการสนับสนุนซัพพลายเออร์ และเกษตรกร เพื่อให้พวกเขาสามารถลดต้นทุนและมีกำไรได้ เป็นต้น ขณะที่ภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้และส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็ก กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงอื่นๆ สามารถช่วยในการอัปสกิล (Upskill) ผู้ประกอบการ ประชาชน พนักงาน และพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ส่งเสริมธุรกิจดิจิทัลเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้อยู่รอดได้ในระยะยาว” ดร. ธันยพร กล่าว
การปรับตัวของ SMEs
การเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้ส่งผลกระทบถึงกลุ่ม SMEs ที่ต้องนำวิธีปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้เพื่อยังคงความสามารถในการแข่งขันและตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค แต่เมื่อพูดถึงเรื่องความยั่งยืนหรือการปรับตัวไปสู่แนวทางความยั่งยืน เช่น Net Zero ก็อาจทำให้ภาคธุรกิจขนาดเล็กคำนึงถึงเรื่องที่ต้นทุน SMEs หลายแห่งอาจมองว่ายังไม่พร้อมจะปรับตัวไปทางความยั่งยืน
"ดร. ธันยพร" กล่าวว่า การปรับตัวของ SMES อาจเริ่มที่การเปลี่ยนแนวคิดวิธีการทำธุรกิจ เช่น การใช้วัสดุรีไซเคิล พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือสร้างความแตกต่างในตลาดได้ด้วยการเพิ่มมูลค่าเพิ่มทางการเกษตร ซึ่งถือเป็นภาคส่วนสำคัญของไทย เพราะถ้ามองภาพใหญ่ มีคนไทยประมาณหนึ่งในสามหรือประมาณ 30 ล้านคนที่อยู่ในกลุ่มเกษตรกร แต่กลับสร้าง GDP ได้ไม่ถึง 6% ในไตรมาส 1 ปี 2567 โดยทรัพยากรที่เราใช้ในการเกษตรยังไม่ทำให้เกิดรายได้มาก ต้องใช้แรงงาน ใช้ดิน ใช้น้ำ ใช้เวลาทั้งชีวิต แต่กำไรนิดเดียว
ยกตัวอย่างแนวทางการปรับตัวของ SMEs ในกลุ่มสแกนดิเนเวียหรือยุโรป อย่างสวีเดนและสวิตเซอร์แลนด์ ที่ไม่มีทรัพยากรดินและน้ำมากมาย แต่สามารถสร้างรายได้ทางภาคเกษตรกรรมมาก เพราะพวกเขาเน้นการออกแบบ การปรุงรส และการผลิตที่มีคุณภาพ มาเพิ่มมูลค่าผลผลิต เช่น ช็อกโกแลตพรีเมียมจากเบลเยียมและสวิตเซอร์แลนด์ เหตุผลที่ทำกำไรได้มาก เพราะพวกเขาใช้การออกแบบและการปรุงรส จากนั้นกระจายรายได้ไปยังเกษตรกรที่อยู่ในฟาร์มโกโก้ในแถบแอฟริกา ทำให้เกิดการแบ่งปันอย่างยุติธรรมในซัพพลายเชน
"ขณะที่มองดู ประเทศไทยมีการขายข้าวจำนวนมาก แต่ราคาข้าวไม่ได้สูงในตลาดโลก ผลกำไรบาง ซัพพลายเชนจึงไม่มีกำไรไปดูแลประชากรที่เป็นเกษตรกร ดังนั้น เราอาจจะต้องเปลี่ยนไปเลือกสินค้าประเภทอื่น เช่น กาแฟ โกโก้ อะโวคาโด ที่สร้างรายได้ยั่งยืน หรืออาจจะต้องเปลี่ยนผ่านเกษตรกรรมไทยด้วยการเลือกสินค้าใหม่ๆ หรือถ้ายังผลิตข้าวอยู่ อาจจะต้องทำโมเดลที่มีนวัตกรรม เช่น เอาจมูกข้าวมาทำเป็นอาหารเสริมแทนที่จะทิ้ง ขายข้าวกิโลละไม่กี่บาท แต่ทำเป็นอาหารเสริมแล้วทำบรรจุจมูกข้าวใส่ซองหรือทำเป็นนมชงได้ อันนี้จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้น"
บทบาทของภาครัฐ
"ดร. ธันยพร" บอกด้วยว่า ภาครัฐควรให้ความรู้และความสามารถแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ในการทำโมเดลธุรกิจที่ไม่ต้องพึ่งพาทรัพยากรจำนวนมาก เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจแบบกระจายตัวไปสู่พื้นที่ชนบทและเมืองรอง เช่น การเพิ่มมูลค่าของสินค้าทางการเกษตร ไม่ใช่แค่ขายกล้วยเป็นผลไม้สด แต่ควรแปรรูปเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น แป้งกล้วย หรืออาหารเสริมจากกล้วย
"ภาครัฐควรมีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้และส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็ก โดยต้องหาตลาดให้และช่วยเกษตรกรในการผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาด อย่างเช่น แทนที่จะส่งเสริมการขายสินค้าโดยไม่คำนึงถึงความต้องการของตลาด ควรสำรวจตลาดก่อนและกลับมาบอกเกษตรกรให้ผลิตสินค้าที่มีความต้องการสูง"
Empowering SMEs toward Sustainability
ความยั่งยืนไม่ใช่แค่การปกป้องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย การที่ SMEs นำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้สามารถนำไปสู่การประหยัดค่าใช้จ่ายผ่านการปรับปรุงประสิทธิภาพ การลดของเสีย และการลดการใช้พลังงาน
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ SMEs ไม่ควรละเลยเรื่องความยั่งยืน คือ ผู้บริโภคกำลังมีความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของการซื้อมากขึ้น โดยตามรายงานของ Nielsen พบว่า ผู้บริโภคทั่วโลก 66% ยินดีจ่ายมากขึ้นสำหรับแบรนด์ที่ยั่งยืน แนวโน้มนี้เห็นได้ชัดเจนในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียลและเจเนอเรชันซี
พวกเขาให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในกระบวนการตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนยังเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น การเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียวและการเข้าสู่ตลาดใหม่ที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ดังนั้น การนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้ SMEs สามารถดึงดูดและรักษาลูกค้าที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมได้ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาด
แม้ว่าประเทศไทยจะมีความก้าวหน้าอย่างมาก แต่การเดินทางยังไม่จบลง จำเป็นต้องมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปรับปรุงการเข้าถึงการเงิน การสนับสนุนด้านการตลาด และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้ทุกธุรกิจขนาดเล็กมีโอกาสเจริญเติบโต ความยืดหยุ่นและการอยู่รอดของธุรกิจขนาดเล็กไม่เพียงแต่เป็นตัวชี้วัดความก้าวหน้าเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำหรับอนาคตที่สดใสยิ่งขึ้น







