'โรงแรมไทย' ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก

'โรงแรมไทย' ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก

'โรงแรมไทย' ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าค่าเฉลี่ยเอเชีย และของโลก แม้ผู้ประกอบการกว่า 52.8% มีการปรับตัว แต่กว่า 96.5% ยังขาดความเข้าใจในการวัดผลกระทบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แนะ ภาครัฐเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน

KEY

POINTS

  • รู้หรือไม่ ลูกค้า 1 ห้อง ของโรงแรมในประเทศไทย ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ราว 0.064 ตันคาร์บอน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโรงแรมในภูมิภาคเอเชีย ที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 0.057 ตันคาร์บอน ขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 0.019 ตันคาร์บอน
  • แม้ผู้ประกอบการกว่า 52.8% มีการปรับตัว แต่กว่า 96.5% ยังขาดความเข้าใจในการวัดผลกระทบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการจัดทำรายงานความยั่งยืน
  • การที่ทำให้ โรงแรมในไทยมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน ต้องมีการสนับสนุนอีกมาก โดยเฉพาะภาครัฐควรเข้ามามีบทบาทมากขึ้น

'โรงแรมไทย' ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่าค่าเฉลี่ยเอเชีย และของโลก แม้ผู้ประกอบการกว่า 52.8% มีการปรับตัว แต่กว่า 96.5% ยังขาดความเข้าใจในการวัดผลกระทบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แนะ ภาครัฐเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน

กระแสการพัฒนาที่ยั่งยืนทำให้ทุกธุรกิจต่างตื่นตัว รวมถึงธุรกิจโรงแรม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยว่า แม้ว่าโรงแรมจะปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ในสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับกิจกรรมอื่น จากรายงาน A Net Zero Road Map for Travel and Tourism ของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ระบุว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโลกมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8% ของ GHG ในทุกกิจกรรมของโลก และโรงแรมมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเฉลี่ยไม่ถึง 1% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกกิจกรรมของโลก

 

แต่สาเหตุที่โรงแรมทั่วโลกและไทยตื่นตัว ทั้งที่กฎกติกาจะไม่ได้บังคับให้ธุรกิจต้องปรับวิถีการทำธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

1. ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มที่เดินทางเพื่อธุรกิจ (Business Travel) การจัดงานประชุมสัมมนาทั้งจากองค์กรต่างประเทศและในประเทศ จากผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงในภูมิภาคอเมริกาและยุโรป โดย HRS พบว่า กว่า 78% ของกลุ่มตัวอย่างในยุโรป และ 61% ของกลุ่มตัวอย่างในอเมริกาเหนือ ต้องการให้โรงแรมที่บริษัทจะใช้บริการแสดงหลักฐานข้อมูลหรือเอกสารรับรอง (Certificate อาทิ Green Key, GSTC และ Green Globe) ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เป็นมาตรฐานสากลหรือของแต่ละประเทศ สำหรับบริษัทที่ประกาศใช้นโยบายดังกล่าว เช่น Siemens, Microsoft, Amazon และ Ernst & Young

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

2. การแข่งขันกับหลายแบรนด์ที่เริ่มดำเนินการด้านความยั่งยืนแล้ว อาทิ โรงแรมเชนรายใหญ่ของโลกมีการประกาศเป้าหมายการลดหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) โดยเริ่มมีการปรับมาใช้พลังงานงานหมุนเวียนบางส่วน การปรับเปลี่ยนทั้งด้านฮาร์ดแวร์อย่างการเปลี่ยนเป็นหลอดไฟประหยัดพลังงาน การติดตั้งอุปกรณ์ควบคุมการใช้ไฟและน้ำให้มีประสิทธิภาพ

 

ขณะที่ในด้านซอฟต์แวร์ ได้แก่ การติดตั้งระบบการบริหารจัดการพลังงาน การติดเซนเชอร์เพื่อบันทึกข้อมูลการใช้ไฟฟ้าและน้ำ รวมถึงการใช้วัสดุตกแต่งในโรงแรมที่ทำมาจากวัตถุดิบ Recycle และ Upcycle การใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเกิดจากการขนส่ง ขณะที่โรงแรมที่สร้างใหม่มีการออกแบบโรงแรมและรูปแบบการบริหารจัดการให้ปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ (Decarbonize)

 

3. พันธมิตรทางการค้าที่ต้องการคู่ค้าที่มีการปรับตัวสู่ความยั่งยืน อย่างออนไลน์ทราเวลเอเจ้นท์ (OTAs) รายใหญ่เริ่มมีการระบุสถานะของโรงแรมและที่พักที่ได้รับการรองรับว่ามีการจัดการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่ต้องการใช้บริการ

 

ความพร้อมของโรงแรมและที่พักในไทย

  • สถานะการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ของโรงแรมในไทยสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชีย ขณะที่ผู้ประกอบการไทยที่มีการตั้งเป้าหมาย Net Zero ยังน้อยและดำเนินการเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่

 

จากข้อมูลของ Cornell Hotel Sustainability (ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2567) พบว่า ค่าเฉลี่ยของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อการเข้าพักของลูกค้า 1 ห้อง ของโรงแรมในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 0.064 ตันคาร์บอน (tCO2e) ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโรงแรมในภูมิภาคเอเชียที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ประมาณ 0.057 ตันคาร์บอน และเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 0.019 ตันคาร์บอน

 

  • ผู้ประกอบการโรงแรมไทยสนใจดำเนินการด้านความยั่งยืน แต่ส่วนใหญ่ยังไม่มีการวัดผลกระทบการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการจัดทำรายงานความยั่งยืน หรือเพียงเริ่มดำเนินการจากส่วนที่ใช้เงินลงทุนไม่สูงและทำได้ทันที เนื่องจากรายได้ธุรกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด ทั้งนี้ จากผลสำรวจของ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า

 

ผู้ประกอบการกว่า 52.8% มีการปรับตัว อาทิ การเปลี่ยนเป็นหลอดไฟประหยัดพลังงาน การติดตั้งโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ส่วนกลาง การเปลี่ยนอุปกรณ์และติดตั้งระบบการประหยัดน้ำ การคัดแยกขยะเพื่อนำไปรีไซเคิล หรือทำเป็นปุ๋ย รวมถึงการลดการใช้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว ซึ่งโรงแรมที่มีการปรับตัวส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่และโรงแรมที่บริหารโดยเชนจากต่างประเทศ

 

ผู้ประกอบการเกือบทั้งหมด (96.5%) ยังขาดความเข้าใจในการวัดผลกระทบการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือการจัดทำรายงานความยั่งยืน

 

ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ผู้ประกอบการเกือบครึ่ง (43.8%) มีแผนที่จะยกระดับโรงแรมให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ขณะที่ผู้ประกอบการที่ยังไม่มีแผนหรือยังไม่แน่ใจมีสัดส่วนมากกว่าครึ่ง เนื่องจากมีความกังวลเรื่องเงินทุน ต้นทุนธุรกิจสูงขึ้น ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวดีหลังจากการระบาดของโรคโควิด-19 และยังไม่มีความชัดเจนในมาตรฐานการวัด

 

ดังนั้น เพื่อให้โรงแรมในไทยมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืน คงจะต้องมีการสนับสนุนอีกมาก โดยเฉพาะภาครัฐควรเข้ามามีบทบาทมากขึ้น อาทิ การจัดตั้งหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงและกำหนดกฎเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานสากล การออกมาตรการทางภาษีชั่วคราวอย่างการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ประกอบการที่มีการลงทุนหรือปรับปรุงโรงแรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และภาครัฐควรจะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในพลังงานทางเลือก/พลังงานหมุนเวียนให้ผู้ประกอบการใช้ในต้นทุนที่ถูกลง