โลกร้อนไม่หยุด “เอลนีโญ”แรง กระทบน้ำในอ่างเก็บลดลง 20 %

โลกร้อนไม่หยุด “เอลนีโญ”แรง   กระทบน้ำในอ่างเก็บลดลง 20 %

เอลนีโญ คือ เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ และการไหลเวียนของกระแสน้ำในมหาสมุทร ทั้งชื่อและสาเหตุการเกิดเอลนีโญ ช่างห่างไกลจากประเทศไทยมาก แต่ในปี 2567 นี้ เอลนีโญ จะอยู่ที่ไทยอย่างรุนแรงและยาวนานในรูปแบบการสร้างความแห้งแล้งในสภาพอากาศ และทำให้ฝนตกน้อยลง

 Key Point

  • ปริมาณน้ำในอ่างต่ำกว่า 20% เป็นผลกระทบจากอุณหภูมิโลกสูงขึ้น และจากปริมาณน้ำฝนที่จะตกในช่วงฤดูฝนน้อยลง
  • ผลผลิตต่อไร่ต่ำเพราะเอลนีโญ รวมถึงเกษตรกรจะมีต้นทุนสูงขึ้นจากการสูบน้ำเข้าพื้นที่เกษตร
  • ภาครัฐแนะเกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อย ช่วยกันประหยัดน้ำ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง

 

ธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า สภาพอากาศที่ร้อนขึ้น เป็นปรากฏการณ์เอลนีโญที่เริ่มส่งผลแล้วในหลายพื้นที่ และคาดการณ์ว่าภาวะเอลนีโญในปีนี้จะหนักขึ้นมากกว่าในปี 2566 โดยในปี 2567 อุณหภูมิโลก คาดว่าจะสูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ประเทศไทยประสบปัญหาภัยแล้งและขาดแคลนน้ำ ทั้งจากปริมาณน้ำฝนที่จะตกในช่วงฤดูฝนน้อยลง และปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่จะต่ำกว่า 20% หลังจากผ่านต้นปีไปแล้ว 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในช่วงครึ่งปีแรก ตั้งแต่เดือน ม.ค.- มิ.ย.อากาศจะร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นช่วงที่ท้าทาย สำหรับการปลูกพืช และการผลิตสินค้าเกษตร รวมถึงปศุสัตว์และประมงจะเกิดภาวะแล้ง ในหลายพื้นที่

โลกร้อนไม่หยุด “เอลนีโญ”แรง   กระทบน้ำในอ่างเก็บลดลง 20 % โลกร้อนไม่หยุด “เอลนีโญ”แรง   กระทบน้ำในอ่างเก็บลดลง 20 %

 

สำหรับผลพยากรณ์ของ สศก. คาดว่า เนื่องจากผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำส่วนใหญ่และน้ำแหล่งน้ำตามธรรมชาติน้อยกว่าปีที่แล้ว ส่งผลให้น้ำต้นทุนไม่เพียงพอ เกษตรกรในบางพื้นที่จึงปล่อยพื้นที่ให้ว่าง 

ส่วนผลผลิตต่อไร่คาดว่าลดลง เนื่องจากผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ทำให้มีอากาศร้อนและแล้งมากขึ้น ปริมาณน้ำไม่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นข้าว และคาดว่าจะมีวัชพืชขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตไม่สมบูรณ์

จากการติดตามและวิเคราะห์ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร พบว่า จากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง และอุณหภูมิที่สูงขึ้น การระเหยของน้ำมีมากขึ้น จำเป็นต้องใช้น้ำเพื่อการเจริญเติบโตในอัตราที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้า ที่ใช้ในการสูบน้ำเข้าแปลงนาสูงขึ้นประมาณ 10 - 20% ต่อไร่ ประกอบกับช่วงฤดูร้อนมักได้รับความเสียหายจากแมลงศัตรูพืช อากาศร้อนทำให้พืชอ่อนแอลง

อีกทั้งมีโอกาสถูกโจมตีจากแมลงศัตรูพืชได้มากกว่าปกติ ซึ่งเกษตรกรจะเลือกใช้ยาฆ่าแมลงในการกำจัดแมลงศัตรูพืชเหล่านั้น ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายที่เกษตรกรใช้ในการปราบศัตรูพืชและวัชพืชเพิ่มขึ้น 5 - 10%ต่อไร่ 

ทั้งนี้ จากสถานการณ์ข้างต้น คาดว่าภาพรวมต้นทุนการผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยต่อไร่สูงขึ้นโดยรวมประมาณ 3 - 5%

“สศก. ขอแนะนำเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่ขาดแคลนน้ำหรือห่างจากแหล่งน้ำปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย เพื่อลดความเสี่ยงทั้งด้านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นและความเสียหายของพืชจากปัญหาการขาดแคลนน้ำ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง พืชผัก เป็นต้น"

ทั้งนี้ จากงานวิจัย พบว่า การปลูกพืชเชิงเดี่ยวทำให้สภาพดินเสื่อมโทรม แตกต่างจากการปลูกพืชหมุนเวียนหรือผสมผสาน นอกจากจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องดินเสื่อมโทรมแล้ว ยังให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า

ดังนั้น เกษตรกรควรจะปลูกพืชหมุนเวียนหรือผสมผสานให้มากขึ้นถึงจะอยู่รอดได้และยังช่วยให้เกิดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า ในช่วงเวลาที่หลาย ๆ พื้นที่กำลังประสบปัญหาภัยแล้งจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

 

โลกร้อนไม่หยุด “เอลนีโญ”แรง   กระทบน้ำในอ่างเก็บลดลง 20 %

ครองศักดิ์ สงรักษา รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า ช่วงฤดูแล้งนี้ได้มีการประเมินพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำการเกษตรนอกเขตชลประทาน จำนวน 924,438 ไร่ ใน 13 จังหวัด 35 อำเภอ 76 ตำบล ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการวางแผน และติดตามการป้องกันแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร ได้มีมติเห็นชอบแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง นโยบาย และมาตรการการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2566/67

ซึ่งกำหนดให้มีการวางแผนการบริหารจัดการน้ำแบบยั่งยืน โดยจัดสรรน้ำให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำ เพื่อสนับสนุนการใช้น้ำทุกกิจกรรมในพื้นที่ต่างๆ อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เห็นควรให้จัดสรรน้ำตามระบบรอบเวร หรือกำหนดวิธีการเพาะปลูกที่ประหยัดให้เหมาะสมกับพื้นที่ เพื่อให้มีน้ำเพียงพอ สำหรับการอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศ การอุตสาหกรรม และการเพาะปลูกพืชต้นฤดูฝนปีถัดไป

สำหรับแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2566/67 ตามปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำ กำหนดพื้นที่การเพาะปลูกทั้งประเทศจำนวน 10.66 ล้านไร่ แบ่งเป็นข้าวรอบที่ 2จำนวน 8.13 ล้านไร่ แยกเป็นในเขตชลประทาน 5.80 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 2.33 ล้านไร่ พืชไร่พืชผักจำนวน 2.53 ล้านไร่ แยกเป็นในเขตชลประทาน 0.57 ล้านไร่ นอกเขตชลประทาน 1.96 ล้านไร่

ผลกระทบจากเอลนีโญ เข้าใกล้ประเทศไทยมากขึ้นทุกขณะ การเข้าใจสถานการณ์และเตรียมรับมืออย่างรอบคอบจะเป็นหนทางให้ประเทศไทยรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไม่ต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง