เร่งฝีเท้าฝ่า 17 ภารกิจ  สู่เส้นชัยความยั่งยืน

สวัสดีครับเมื่อเร็วๆ นี้ มีข่าวดีว่าสหประชาชาติจัดอันดับความยั่งยืนของประเทศไทยในปี 2566 เป็นอันดับ 1 ของอาเซียนติดต่อกันเป็นปีที่ 5 อันดับความยั่งยืนดังกล่าวคืออะไร สำคัญอย่างไร วัดจากอะไรบ้าง มาดูไปพร้อมๆ กันครับ

หากมีคนมาบอกคุณว่าจงทำภารกิจ 17 ประการให้สำเร็จ เพื่อพลิกโฉมโลกให้เป็นดินแดนที่สงบสุข ปลอดภัย มั่งคั่ง และยั่งยืนสำหรับทุกคนตลอดจนรุ่นลูกรุ่นหลาน คุณอาจจะรู้สึกว่าภาพราวฝันนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันได้เริ่มขึ้นแล้วครับ

ภารกิจ 17 ประการนั้นเรียกว่า “เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 17 ข้อ” (Sustainable Development Goals: SDGs) ที่กำหนดโดยสหประชาชาติในปี 2558 ด้วยความมุ่งหวังว่าจะชักชวนประชาคมโลกให้ช่วยกันแก้ปัญหาใหญ่ต่างๆ ของโลกให้ได้ภายใน 15 ปี ก็คือ ภายในปี 2573 โดยแยกประเด็นออกเป็น 17 ด้าน อาทิ ความยากจน ความไม่เสมอภาค เป็นต้น

ในแต่ละปี สหประชาชาติติดตามวัดความก้าวหน้าของแต่ละประเทศ และภูมิภาคตามเป้าหมายข้างต้น แล้วรายงานผลผ่าน SDG Progress Report พร้อมประมวลผลออกมาเป็นดัชนี SDG Index ซึ่งเป็นที่มาของข่าวดีการจัดอันดับความยั่งยืนของไทยข้างต้นนั่นเอง โดยอันดับของไทยขยับขึ้นสู่อันดับที่ 43 จาก 166 ประเทศ ปรับตัวดีขึ้นจากอันดับที่ 44 ในปีก่อนหน้าด้วย 74.7 คะแนน

แม้เป้าหมายบางข้อของไทยยังเผชิญกับความท้าทาย อาทิ ขจัดความหิวโหย (ข้อ 2) เนื่องจากประชากรร้อยละ 8.8 ยังมีภาวะทุพโภชนาการ และเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีร้อยละ 11.8 ยังมีภาวะแคระแกร็น และ การใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล (ข้อ 14) เนื่องจากยังมีการประมงโดยขาดการรายงาน และควบคุมร้อยละ 46.3 ของสัตว์น้ำที่จับได้ แต่ในขณะเดียวกันไทยก็ทำได้ดีขึ้นในบางข้อ อาทิ บรรลุเป้าหมายย่อยเรื่องการเข้าถึงน้ำดื่มที่ปลอดภัยในราคาที่หาซื้อได้อย่างถ้วนหน้าใน การบริหารจัดการน้ำและสุขาภิบาลอย่างยั่งยืน (ข้อ 6) ส่วนใน การส่งเสริมเมือง และชุมชนที่ยั่งยืน (ข้อ 11) การยกระดับพัฒนาเมืองส่งผลให้สัดส่วนประชากรที่อาศัยในชุมชนแออัดในเมืองเหลือร้อยละ 6.8

อย่างไรก็ตาม หากมองภาพรวมทั้งโลกแล้ว ณ วันนี้ ผ่านไปกึ่งหนึ่งจากกรอบเวลา 15 ปี เราได้ “พลิกโฉม” โลกของเราถึงร้อยละ 50 จากที่ตั้งใจไว้หรือยัง คำตอบคือ “ยัง” ครับ

รายงาน SDG Progress Report 2023 ชี้ว่าเอเชีย-แปซิฟิกยังเดินหน้าเรื่องนี้ได้ช้ามากที่เพียงร้อยละ 14.4 ของเป้าหมายปี 2573 เพราะแม้จะมีแนวโน้มบรรลุ SDG บางข้อ อาทิ การเข้าถึงพลังงานสะอาด (ข้อ 7) เนื่องจากมีพัฒนาการความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อพลังงานหมุนเวียน และ การส่งเสริมอุตสาหกรรม นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน (ข้อ 9) เนื่องจากประสบความสำเร็จในการขยายเครือข่ายโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต แต่อุปสรรคสำคัญในภูมิภาคนี้คือ “ขาดข้อมูล” เพื่อติดตาม และทบทวนความคืบหน้าของรายการเป้าหมายย่อย โดยเฉพาะ การส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ (ข้อ 5) และ การส่งเสริมความสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง (ข้อ 16) นอกจากนี้ อุปสรรคที่ทำให้ล่าช้าในช่วงที่ผ่านมาคือ วิกฤติโควิด-19 รวมถึงปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ

เป้าหมายที่น่ากังวลที่สุดของเอเชีย-แปซิฟิกคือ การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ข้อ 13) ซึ่งยังคงมีความคืบหน้าเป็นศูนย์ในเป้าหมายย่อยเรื่องการลดอัตราจำนวนผู้เสียชีวิต ผู้สูญหาย หรือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากภัยพิบัติต่างๆ อีกหนึ่งเป้าหมายที่ถดถอยยิ่งกว่าเดิมในกลุ่มประเทศด้อยพัฒนา และรัฐกำลังพัฒนาที่เป็นเกาะขนาดเล็กคือ การผลิตและการบริโภคอย่างรับผิดชอบ (ข้อ 12) เนื่องจากยังมีการอุดหนุนการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่

จากรายงานความคืบหน้าข้างต้น หากเราไม่เร่งเครื่อง เอเชีย-แปซิฟิกอาจต้องใช้เวลามากถึง 42 ปีในการบรรลุเป้าหมาย SDG ทั้งหมด ความหวังจึงอยู่ที่การร่วมมือเร่งดำเนินการ การเรียนรู้แนวปฏิบัติจากประเทศอื่นๆ รวมถึงการให้ความสนับสนุนทางการเงินเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing) เพื่อช่วยขับเคลื่อนสู่เป้าหมายระดับโลกที่หมายมั่นได้ในที่สุดครับ

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์