“ตลาดคาร์บอนเครดิต”บูม“กยท.” ส่งสวนยางร่วมเทรดระดับสากล

“ตลาดคาร์บอนเครดิต”บูม“กยท.”          ส่งสวนยางร่วมเทรดระดับสากล

กยท. แต่งตัว สวนยางพาราไทย ดันเข้าตลาดคาร์บอนเครดิต หลัง อียู ขีดเส้นเก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้าข้ามพรมแดน เริ่ม1 ม.ค. 2569 วางเป้าลด ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้อย่างน้อย 55% ภายในปี 2030

ความขับเคลื่อน“ตลาดคาร์บอนเครดิต”ที่สำคัญและส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางมากคือ มาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมคาร์บอนของ สหภาพยุโรป (EU) ซึ่งอยู่ภายใต้นโยบาย European Green Deal ที่ตั้งเป้าหมายจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้อย่างน้อย 55% ภายในปี 2030 เป็นที่มาให้มีการเรียกเก็บจากผู้นำเข้าเช่นเดียวกันด้วย หรือที่เรียกว่า Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM / มาตรการเก็บภาษีคาร์บอนกับสินค้าข้ามพรมแดน) โดยจะมีการเก็บภาษีดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2569 เป็นต้นไป 

"ช่วงระยะเปลี่ยนผ่านไว้ระหว่างวันที่1 ต.ค. 2566 – 31 ธ.ค. 2568 ซึ่งสินค้านำเข้าจากประเทศที่ไม่ใช่สมาชิก EU ที่มีราคาสูงกว่า 150 ยูโร จะต้องมีเอกสารรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั้งการปล่อยก๊าซในทางตรงและทางอ้อมส่งให้กับคู่ค้าของตนใน EU เป็นรายไตรมาส (CBAM Declaration)เงื่อนไขดังกล่าวจะทำให้เกิดการซื้อขายคาร์บอนอย่างกว้างขวาง

“ตลาดคาร์บอนเครดิต”บูม“กยท.”          ส่งสวนยางร่วมเทรดระดับสากล “ตลาดคาร์บอนเครดิต”บูม“กยท.”          ส่งสวนยางร่วมเทรดระดับสากล “ตลาดคาร์บอนเครดิต”บูม“กยท.”          ส่งสวนยางร่วมเทรดระดับสากล

 

 

ณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย(กยท.) กล่าวว่า การจัดลำดับพืชที่เข้าสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตของไทย จะมองในกลุ่มของไม้ยืนต้น อายุยืนยาวที่มีเนื้อไม้และมีวงปี เป็นหลัก ซึ่งหมายถึงไม้ในพื้นที่ป่าสงวน ที่ยังมีปัญหาในรายละเอียดข้อมูล เช่นชนิดไม้ พื้นที่ปลูก อายุ เป็นต้น ทำให้ยากต่อการเจรจาซื้อขายแต่สำหรับไม้ยางพารา แม้จะเป็นพืชเศรษฐกิจ มีรายได้จากน้ำยางเป็นหลัก แต่ไม้ยางมีอายุยืนถึง 25 ปีเป็นอย่างน้อย ในขณะที่มีหน่วยงานดูแลที่ชัดเจน คือ กยท. ทำให้มีข้อมูลรายละเอียดของยางพาราที่ชัดเจน สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดช่วงอายุการปลูก อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ยางพาราเป็นพืชปลูก ทำให้องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) คำนวณอัตราซื้อขายคาร์บอนเครดิตไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับองค์กรของEU และองค์กรระหว่างประเทศ แต่จะมีเงื่อนไขที่เข้มกว่า

เบื้องต้น กยท. ได้ส่งตารางรายได้ตามช่วงอายุของยางพาราให้ อบก. พิจารณาแล้วโดยเกษตรกรควรได้รับรายได้ ในอัตรา50-422 บาทต่อตันคาร์บอน ซึ่งกยท.จะทำหน้าที่แนะนำและส่งเสริมเพื่อให้เข้าเงื่อนไขของหน่วยงานรับซื้อ อีกทั้งได้หารือกับกรมวิชาการเกษตรที่ร่วมมือกับ อบก.แล้ว เพื่อที่กรมวิชาการเกษตรจะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานรับรองคาร์บอนเครดิตให้กับสวนยางทั้งหมด

“ในปีที่ผ่านมา กยท.เปิดให้เกษตรกรขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program : T-VER) ไปแล้ว และในปี 2566-2567 จะดำเนินการขอรับรองคาร์บอนเครดิต เพื่อขายในตลาด CARBON MARKET ต่อไป”

จากการวิจัยในเรื่องคาร์บอนเครดิตพบว่า ยางพาราเป็นไม้ยืนต้นที่มีการกักเก็บคาร์บอนได้ดี สามารถเก็บได้ตั้งแต่อายุต้นยาง 1–18 ปี โดยเฉพาะในช่วง 1-5 ปีแรกก่อนเปิดกรีด เกษตรกรชาวสวนยางจะสามารถเพิ่มรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตในช่วงก่อนเปิดกรีดได้ ควบคู่กับการลดใช้ปุ๋ยเคมีและปัจจัยการผลิตต่างๆ รวมถึงลดการใช้เชื้อเพลิงในกระบวนการผลิต หรือการขนส่ง ที่จะส่งผลก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ กยท. ได้ร่วมกับ สภาวิจัยและพัฒนายางระหว่างประเทศ (IRRDB)ในการหารือแลกเปลี่ยนความรู้การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจากสวนยางฯพัฒนาตลาดและการใช้สวนยางพาราลดการปล่อยคาร์บอนเพิ่มช่องทางสร้างรายได้แก่ชาวสวนยาง ผ่านโครงการซื้อขายคาร์บอนด้วยการปลูกยาง เพื่อตลาดคาร์บอนโดยสมัครใจ (Workshop on Developing Carbon Trading Projects with Rubber Cultivation for Voluntary Carbon Market)

การได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความคืบหน้าล่าสุดของตลาดคาร์บอน จะทำให้เข้าใจการพัฒนาของตลาดอย่างถ่องแท้และมองเห็นศักยภาพของอุตสาหกรรมยางพาราที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นสิ่งที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อสังคมโดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกและทำสวนยาง

ทั้งนี้ตลาดคาร์บอนโดยสมัครใจและการซื้อขายคาร์บอนเป็นเครื่องมือดึงดูดเกษตรกรชาวสวนยาง ให้มีความสนใจนำสวนยางเข้าร่วมการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นโอกาสที่ดีให้พวกเขามีช่องทางได้รับรายได้เสริมสามารถพัฒนาความเป็นอยู่ของตนให้ดีขึ้น

ระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ กับ อบก. เพื่อส่งเสริมการดำเนินโครงการT-VERอย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้พื้นที่ปลูกยางของกรมวิชาการเกษตรเป็นพื้นที่นำร่องในการศึกษากระบวนการเก็บข้อมูล วิธีการในการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนฟุตปริ้นท์ที่เหมาะสมสำหรับยางพาราที่เกษตรกรสามารถทำได้ ไม่ยุ่งยาก รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรให้สามารถเป็นผู้รับรองการตรวจประเมินโครงการ และรับรองการคำนวณคาร์บอนเครดิตด้านการเกษตร เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่เกษตรกร

ในขณะเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ยางขั้นต้นที่ประเทศไทยมีการส่งออกมาก3ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ยางแท่ง น้ำยางข้น และยางแผ่นรมควัน มีการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ0.5 – 0.7ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อตันผลิตภัณฑ์ อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการและนโยบายด้านGreenและClimate Changeในระยะเวลาอันใกล้นี้ผู้ประกอบการจึงต้องเตรียมความพร้อม ซึ่งนอกจากด้านคุณภาพผลิตภัณฑ์ยางแล้ว ควรหันมาใส่ใจกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก