ตลาดหลักทรัพย์ ตอนที่ 6 : 4 เทรนด์ ESG รับปี 66

สวัสดีปีกระต่ายครับ ผมหวังว่าปีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับทุกท่าน แม้ว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พวกเราจะเจอบททดสอบสุดหินแต่ก็ทำให้เกิดการเรียนรู้ ปรับตัว และผ่านมันมาได้ ผมเชื่อว่าทุกท่านเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจและธุรกิจจากปัจจัยที่ซับซ้อน

โดยเฉพาะบริบทด้าน ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล)  

ที่มีบทบาทต่อทิศทางเศรษฐกิจในระดับมหภาค ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีเปลี่ยนสังคม ภาษีคาร์บอน ข้อกำหนดการเปิดเผยข้อมูล ESG และกฎระเบียบอื่นๆ ดังนั้น ESG จึงไม่ใช่แค่หลักการธุรกิจที่ดีนะครับ แต่เป็นหลักการที่รักษาความอยู่รอด แม้ว่าผู้บริหารหลายท่านยังมองว่า ESG เป็นคนละเรื่องกับเป้าความสำเร็จของธุรกิจ แต่ความคาดหวังของผู้คนและผู้นำทางธุรกิจทั่วโลกต้องการให้มันอยู่ในเนื้อเดียวกับธุรกิจ จาก 4 เทรนด์น่าสนใจในปี 66 ผมคิดว่าจะสะท้อนถึงบทบาทของธุรกิจยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี เลยขอนำมาแชร์ครับ

1. The circular economy is dead : บทความใน Triple Pundit โดย Leon Kaye กล่าวได้อย่างน่าสนใจว่า เศรษฐกิจแบบหมุนเวียนตายแล้ว Leon บอกว่าเหตุที่มันตาย เพราะความจริงแล้วมันไม่มีชีวิตตั้งแต่แรก มันเป็นแค่คำศัพท์ด้านความยั่งยืนที่กำลังถูกควบรวมไปกับคำศัพท์ใหม่ว่า net-zero ซึ่งอย่าไปยึดติดกับคำศัพท์ แต่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายและผลลัพธ์ดีกว่าจะได้ไม่ตกขบวน เมื่อ net-zero กำลังมาเพิ่มความเขียวให้ระบบเศรษฐกิจยุคใหม่

 2. Blockchain help supply chains : บทความของ Aura Toader ใน MSCI ESG and Climate Trends to Watch for 2023 ระบุว่ากฎหมายเกี่ยวกับแรงงานทาสยุคใหม่ (Modern-slavery) ในสหภาพยุโรป แคนาดา สหรัฐ และออสเตรเลียกำหนดเงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศให้ธุรกิจต้องเปิดเผยกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การใช้แรงงานเด็ก แรงงานบังคับ หรือการค้ามนุษย์ในห่วงโซ่อุปทาน ดังนั้นธุรกิจที่มีซัพพลายเชนขนาดใหญ่และมีการส่งออกไปประเทศต่างๆ เหล่านี้จะได้รับผลกระทบเต็มๆ จากกฎหมายดังกล่าว และในปี 2566 จะมีโครงการนำร่องที่ใช้ Blockchain เพื่อเฝ้าระวังการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น Walmart ร่วมมือกับ IBM เพื่อติดตามผลิตภัณฑ์เนื้อหมูในจีน หรือ Unilever นำเทคโนโลยี GreenToken ของ SAP มาใช้เพื่อจัดหาน้ำมันปาล์ม หรือ Ford Motor ใช้ blockchain เพื่อติดตามโคบอลต์ ซึ่งเป็นแร่สำหรับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนจากเหมืองสู่ผู้ใช้ปลายทาง หากการทดลองนี้ประสบความสำเร็จจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในการจัดการห่วงโซ่อุปทานทั้งโลกเลยทีเดียว

3. Better boards :บทความใน Fortune โดย Sheryl Estrada ได้สัมภาษณ์ Meggin Thwing Eastman, managing director and global ESG editorial director ของ MSCI เพื่อเล่าเทรนด์ของธุรกิจปี 2566 Eastman ย้ำว่าคณะกรรมการของบริษัทจะหันมาใส่ใจประเด็น ESG ที่มีผลกระทบต่อทิศทางธุรกิจ ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการกำกับดูแลสำหรับความท้าทายใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้าน ESG จะมีให้เห็นมากขึ้น Eastman บอกว่า “โครงสร้างกรรมการจะมีความหลากหลายโดยไม่จำกัดแค่เพศ เชื้อชาติ แต่รวมถึงอายุและทักษะที่ต้องมีความหลากหลายขึ้นด้วย ผู้ลงทุนจะเริ่มถามความเชี่ยวชาญของบอร์ดในเรื่องการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือเรื่อง ESG อื่นๆ ที่จะกระทบต่อการทำกำไรของบริษัท”

4. Premium on quality data : ผลสำรวจของ EY โดย Narendra Tiwari พบว่าผู้ลงทุนและหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบกฎระเบียบมีความต้องการข้อมูล ESG ที่พรีเมียมและมีคุณภาพมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะผู้ลงทุนจะแสวงหาข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้จากแหล่งข้อมูลที่เป็นดิจิทัล รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูล ESG ด้วยระบบ AI ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อความรวมเร็วในการตัดสินใจจัดสรรเงินลงทุนในพอร์ตการลงทุนยุคดิจิทัล

ผมคิดว่าปีนี้เราจะเห็นการผสมผสานของธุรกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีที่ชัดเจนมากขึ้น และมันจะเป็นประโยชน์มากสำหรับคนที่คิดออกว่าจะคว้าโอกาสจากประเด็นเหล่านี้อย่างไร อยากให้ตระหนักว่า ESG เป็นหลักการที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวกับสิ่งต่างๆ ที่เปลี่ยนไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มองเป็นภาระ เราจะไม่อยากทำและหยุดปรับตัว เมื่อธุรกิจหยุดปรับตัวก็เหมือนกับการตั้งเวลารอการปิดตัวเช่นกัน