"กกพ." เปิดรับฟัง 3ทางเลือก 1 ทางรอด "ประหยัด" รับมือปรับค่าไฟฟ้า

"กกพ." เปิดรับฟัง 3ทางเลือก 1 ทางรอด "ประหยัด" รับมือปรับค่าไฟฟ้า

สถานการณ์โลกกำลังบีบคั้นให้ราคาพลังงานปรับเพิ่มขึ้น กระทบถึงค่าไฟฟ้าที่อยู่บนความเสี่ยงต้องปรับขึ้นเช่นกัน การมองหาทางเลือกเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดเป็นจำเป็น แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งทางรอดที่จะนำพาทุกคนผ่านวิกฤตินี้ไปได้ นั่นคือ การประหยัด

(กกพ.) จะเปิดรับฟังความคิดเห็นการปรับค่าไฟฟ้าเอฟที งวดเดือนม.ค.-เม.ย. 2566 ไปจนถึงวันที่ 27 พ.ย. 2565 นี้จากนั้นก็จะเคาะตัวเลขออกมาว่าค่าเอฟทีจะต้องปรับขึ้นเท่าไหร่ โดย 3 ทางเลือกที่เปิดรับฟังความคิดเห็น ประกอบด้วย

 

  • กรณีที่ 1 ค่าเอฟทีปรับขึ้น 224.98 สตางค์ต่อหน่วย

โดยมาจาก การประมาณการต้นทุนที่จะต้องปรับขึ้น 158.31 สตางค์ต่อหน่วย บวกด้วยส่วนที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)จ่ายชดเชยให้ไปก่อนบางส่วน 66.67 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อให้ กฟผ. ได้รับเงินคืนครบทั้งหมดภายใน 1 ปี โดยยังเหลือภาระที่จะต้องทยอยคืน กฟผ. อีกประมาณ 81,505 ล้านบาท กรณีนี้จะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยโดยรวม (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ปรับเพิ่มขึ้นจาก 4.72 บาทเป็น 6.03 บาทต่อหน่วย

 

  • กรณีที่ 2  ปรับขึ้นค่าเอฟที จำนวน 191.64 สตางค์ต่อหน่วย

โดยลดส่วนที่จะทยอยคืนกฟผ.เหลือ 33.33 สตางค์ต่อหน่วยเพื่อให้ กฟผ.ได้รับเงินคืนครบภายใน 2 ปี โดยยังเหลือภาระที่จะต้องทยอยคืน กฟผ. อีกประมาณ 101,881 ล้านบาท กรณีนี้จะทำให้ค่าไฟฟ้าโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.70 บาทต่อหน่วย

 

  • กรณีที่ 3 ค่าเอฟทีเรียกเก็บประจำงวดเดือน ม.ค.- เม.ย. 2566 จำนวน 158.31 สตางค์ต่อหน่วย

โดยยังไม่มีการจ่ายเงินคืน กฟผ. ในงวดนี้ทำให้ กฟผ. ต้องรับภาระต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงแทนประชาชนไปก่อนจำนวน 122,257 ล้านบาท และค่าไฟฟ้าโดยรวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.37 บาทต่อหน่วย

ที่ผ่านมาในการคำนวณค่าเอฟทีงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.2565 กกพ. ก็ใช้วิธีเปิดรับฟังความคิดเห็นใน 3 ทางเลือกและผลที่ออกมาก็เลือกทางเลือกที่จะขึ้นค่าเอฟทีที่น้อยที่สุด โดยที่ยังไม่จ่ายคืนส่วนที่ กฟผ. ช่วยแบกรับภาระเอาไว้ให้ก่อน และในส่วนของมาตรการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าเฉพาะกลุ่มนั้น ทางกระทรวงพลังงานเป็นผู้เสนอเป็นมาตรการให้คณะรัฐมนตรี​พิจารณาเห็นชอบโดยใช้งบประมาณกลาง ซึ่งการดำเนินการสำหรับค่าเอฟทีงวด ม.ค.- เม.ย. 2566 ก็น่าจะออกมาในลักษณะเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม สำนักงาน กกพ. มีการชี้แจงถึงสถานะทางการเงินและสภาพคล่องของ กฟผ. ไว้ด้วยว่าจะไม่สามารถช่วยตรึงค่าเอฟที ตามนโยบายของรัฐได้ในระยะยาว ซึ่งที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีเห็นชอบให้ กฟผ. กู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องในวงเงินไม่เกิน 85,000 ล้านบาทไปแล้ว

ดังนั้นสำนักงาน กกพ. จึงเรียกร้องให้มีการบริหารการใช้ไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ เพื่อลดการนำเข้า LNG ราคาแพง หรือลดการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าด้วยน้ำมันดีเซลที่ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นมาก เพื่อให้ประเทศสามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจกลับคืนมาได้

สอดคล้องกับเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมาที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ประชุมได้มีการพิจารณาสถานการณ์ความไม่สงบระหว่างสหพันธรัฐรัสเซียและประเทศยูเครนที่ยังไม่มีข้อยุติ ว่าจะส่งผลให้ราคาLNGในตลาดโลกยังมีความความผันผวน จึงมีมติเห็นชอบมาตรการบริหารจัดการพลังงานในสถานการณ์วิกฤติราคาพลังงานในช่วงเดือน ต.ค – ธ.ค 2565 ซึ่งได้มีการขอความร่วมมือในการประหยัดพลังงานในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

โดยหากราคาตลาดจร LNG นำเข้า (Spot LNG) อยู่ในระดับราคาที่เกินกว่า 50 ดอลลาร์ต่อล้านบีทียู ติดต่อกันเป็นเวลา 14 วัน รัฐจะมีการพิจารณาปรับบางมาตรการให้เป็นมาตรการบังคับให้ต้องประหยัดพลังงาน เช่น การกำหนดเวลาเปิด-ปิดภาคธุรกิจบริการที่ใช้พลังงานสูง อย่างห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ สถานบันเทิง หรือ การปิดระบบแสงสว่างในพื้นที่ที่ไม่จำเป็น การกำหนดเวลาเปิดปิดไฟบนป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ และการปิดสถานีบริการน้ำมันหลังเวลา 23.00 น. เป็นต้น