สิทธิการลาคลอด ภาระต้นทุนของนายจ้างตามกฎหมายใหม่

สิทธิการลาคลอด ภาระต้นทุนของนายจ้างตามกฎหมายใหม่

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2568 ในราชกิจจานุเบกษา และจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคมปี 2568 เป็นต้นไป

กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสิทธิการลาที่เกี่ยวกับการคลอดบุตร ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน แต่ก็ทำให้สถานประกอบการต้องรับภาระต้นทุนและความท้าทายในการบริหารกำลังคนมากขึ้นตามไปด้วย

กฎหมายฉบับใหม่มีสาระสำคัญ 3 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการลาคลอด ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

1.) สิทธิลาเพื่อคลอดบุตร

กฎหมายใหม่กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งไม่เกิน 120 วัน หรือตามจำนวนวันที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 60 วัน หรือตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา ในขณะที่กฎหมายฉบับเดิมให้สิทธิลาเพื่อคลอดบุตรเพียง 98 วัน และได้รับค่าจ้างไม่เกิน 45 วัน

การเพิ่มสิทธิดังกล่าวถือเป็นการยกระดับความคุ้มครองแรงแรงงานอย่างชัดเจน ทั้งด้านเวลาการพักฟื้นและความมั่นคงด้านรายได้ระหว่างลา แต่ในขณะเดียวกัน นายจ้างต้องรับภาระต้นทุนสูงขึ้นจากการขาดกำลังคนในช่วงเวลายาวนานขึ้น และจากจำนวนวันที่ต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่ม ซึ่งธุรกิจขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดด้านบุคลากร อาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

2.) สิทธิลาต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงดูบุตรที่ป่วย

กฎหมายใหม่เพิ่มสิทธิสำคัญที่ยังไม่เคยมีการบัญญัติมาก่อน คือ สิทธิลาต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงดูบุตรที่ป่วย โดยให้ลูกจ้างซึ่งใช้สิทธิลาเพื่อคลอดบุตร มีสิทธิลาต่อเนื่องเพื่อเลี้ยงดูบุตรได้อีกไม่เกิน 15 วัน หากบุตรมีภาวะการเจ็บป่วยที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน มีความผิดปกติ หรือมีภาวะความพิการ และให้ลูกจ้างต้องแสดงใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันประกอบการลา

นอกจากนี้ กฎหมายยังบัญญัติให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลาในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างสำหรับวันที่ลา

สิทธิใหม่นี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของรัฐในการคุ้มครองแรงงานหญิงและบุตรอย่างรอบด้าน ซึ่งจะช่วยให้ลูกจ้างหญิงมีโอกาสดูแลบุตรที่ป่วยอย่างเหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องใช้วันลาประเภทอื่น อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจต้องรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และการลาประเภทนี้มักเกิดกะทันหัน ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในแง่ของการบริหารกำลังคน

3.) สิทธิลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสซึ่งคลอดบุตร

กฎหมายใหม่กำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสซึ่งคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งไม่เกิน 15 วัน โดยใช้สิทธิก่อนหรือในวันที่ลาภายใน 90 วันนับแต่วันที่คลอดบุตร และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกิน 15 วัน

การที่กฎหมายให้สิทธิลาเพื่อช่วยเหลือคู่สมรสซึ่งคลอดบุตร ถือเป็นความก้าวหน้าสำคัญที่ช่วยให้คู่สมรสมีส่วนร่วมในการดูแลบุตรแรกเกิด ซึ่งส่งผลดีต่อพัฒนาการของเด็กและช่วยสร้างความผูกพันในครอบครัว แต่ในด้านของผู้ประกอบการ การลาประเภทนี้ย่อมเพิ่มต้นทุนและภาระด้านกำลังคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในธุรกิจที่ต้องใช้กำลังคนอย่างต่อเนื่อง เช่น งานบริการ โรงงานอุตสาหกรรม

เมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2568 ในประเด็นสิทธิการลาที่เกี่ยวกับการคลอดบุตรทั้ง 3 ประการ เห็นได้ว่ากฎหมายมีเจตนารมณ์ชัดเจนในการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน สนับสนุนบทบาทของสมาชิกในครอบครัว รวมถึงมุ่งคุ้มครองสวัสดิภาพของเด็กแรกเกิด ซึ่งถือเป็นหลักการที่สอดคล้องกับมาตรฐานขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization)

อย่างไรก็ตาม สิทธิต่าง ๆ ของแรงงานที่เพิ่มขึ้นย่อมมาพร้อมกับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นของนายจ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งในด้านค่าใช้จ่ายและการขาดกำลังคน โดยเฉพาะในธุรกิจ SMEs ซึ่งมีทรัพยากรอย่างจำกัด ดังนี้ เพื่อให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมายได้อย่างสมดุล รัฐบาลจำเป็นต้องมีแนวทางสนับสนุนผู้ประกอบการอย่างเป็นรูปธรรม

ประการที่หนึ่ง รัฐบาลควรพัฒนาระบบประกันสังคมหรือจัดทำกองทุนสวัสดิการการคลอดบุตร เพื่อไม่ให้นายจ้างต้องรับภาระต้นทุนที่เกิดจากการใช้สิทธิลาเพียงฝ่ายเดียว และประการที่สอง รัฐบาลควรมีมาตรการลดหย่อนภาษีหรือแรงจูงใจด้านการเงินแก่ภาคเอกชนที่ต้องรองรับการลาของลูกจ้าง

มาตรการทั้งสองประการดังกล่าว จะช่วยลดภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ และทำให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวต่อกฎหมายใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมให้สถานประกอบการสนับสนุนการใช้สิทธิของพนักงานอย่างเป็นธรรมอีกด้วย

ในขณะเดียวกัน ภาคเอกชนเองควรปรับระบบการจัดการทรัพยากรบุคคลให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น จัดฝึกอบรมพนักงานให้สามารถทำงานแทนกันได้ วางแผนสำรองกำลังคนในตำแหน่งที่อาจขาดบุคลากร รวมถึงจัดทำคู่มือปฏิบัติงานเพื่อให้พนักงานสามารถทำงานแทนกันได้อย่างราบรื่น

โดยสรุป สิทธิการลาที่เกี่ยวกับการคลอดบุตรไม่ควรถูกมองว่าเป็นภาระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นการลงทุนทางสังคมที่ช่วยสร้างประชากรที่มีคุณภาพในระยะยาวต่อไป ดังนั้น หากรัฐบาล นายจ้าง และลูกจ้าง สามารถร่วมมือเพื่อหาจุดสมดุลกันได้

กฎหมายฉบับนี้จะไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของแรงงานเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงแก่ระบบเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย