กองทุนผสมผสานทางรอดระบบสุขภาพไทย

ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย คือความสำเร็จที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล นิตยสารThe Economist เคยยกย่องว่าไทยสามารถให้ความคุ้มครองประชาชนได้ถึง 99.5% โดยใช้งบประมาณเพียง 6% ของ GDP
ซึ่งเป็นแบบอย่างสำหรับนานาประเทศ ทว่าเบื้องหลังความสำเร็จนี้ กลับมีความกังวลทางการคลังจากการก้าวสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” และภาระจาก “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)” ที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพพุ่งสูงขึ้นจนนำไปสู่จุดเสี่ยงที่เกินกว่าศักยภาพทางการคลังของประเทศจะรับไหว
มีการตั้งคำถามว่า “ระบบหลักประกันสุขภาพ” จะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนต่อไปได้หรือไม่ ขณะที่ตัวเลขรายจ่ายสุขภาพต่อหัวประจำปี 2566 เฉลี่ย 3 ระบบหลักประกันสุขภาพ 5,286.80 สวัสดิการข้าราชการ 18,462.86 สัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 249.2% และอีก 15 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2568-2583)สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์)คาดการณ์ว่า ประชากรสูงวัยจะเพิ่มขึ้นจาก 14.54 ล้านคนเป็น 20.51 ล้านคน ประชากรวัยทำงานจะลดลงจาก 41.92 ล้านคนเหลือ 36.50 ล้านคน ซึ่งหมายถึงฐานภาษีที่หดตัวลงกว่า 5.4 ล้านคนการพึ่งพิงงบประมาณจากภาษีเพื่อดูแลสุขภาพของคนทั้งประเทศจึงไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืน
เมื่อเร็วๆนี้ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (บอร์ดสภาพัฒน์) “ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ” ได้เสนอแนวคิด “ระบบกองทุนผสมผสาน” และการขยายฐานรายรับของระบบไว้น่าสนใจว่า ในส่วนของ กองทุนหลัก เป็นระบบบังคับสมทบ 3 ฝ่าย ประกอบด้วยรัฐ, นายจ้าง, และประชาชนผู้มีรายได้เพื่อขยายฐานผู้สมทบให้กว้างกว่าระบบประกันสังคมในปัจจุบัน เงินก้อนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อให้ประชาชนซื้อประกันสุขภาพสำหรับตนเอง และมีส่วนที่จ่ายคืนเมื่อเข้าสู่วัยเกษียณเพื่อเป็นหลักประกันด้านสุขภาพในระยะยาว
และกองทุนพิเศษ โดยรัฐบาลจะใช้เงินภาษี 100% จัดตั้งกองทุนนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อดูแลกลุ่มผู้ยากไร้ หรือกรณีเจ็บป่วยที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงเป็นพิเศษซึ่งเกินกว่าความคุ้มครองของกองทุนหลัก กองทุนผสมผสานนี้จะต้องทำควบคู่การส่งเสริมให้ผู้สูงอายุในช่วงวัย 60-64 ปีปัจจุบันมีจำนวนราว 4.8 ล้านคน ให้อยู่ในตลาดแรงงานต่อไปให้นานขึ้นเป็นการเพิ่มรายรับและชะลอการเปลี่ยนสถานะไปเป็นผู้รับประโยชน์สุทธิจากระบบไปพร้อมกันและควบคุมค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในระยะยาว เน้นการป้องกันและควบคุมโรค NCDs ให้มากขึ้น เพื่อป้องกันค่าใช้จ่ายในอนาคต จากปัจจุบันควบคุมโรค NCDs ในกลุ่มผู้ป่วยได้เพียง 30% เท่านั้น
วันนี้ความท้าทายจากสังคมสูงวัยและภาระโรค NCDs ได้ส่งสัญญาณเตือนที่ชัดเจนว่า ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพของไทยจำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปอย่างเร่งด่วน โดยจะต้องครอบคลุม 4 มิติหลัก S (Sustainability) การสร้างความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว A (Adequacy) การมีงบประมาณที่เพียงพอต่อการดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างมีคุณภาพ F (Fairness)การสร้างความเป็นธรรมทั้งในการเข้าถึงบริการและการร่วมสมทบค่าใช้จ่าย E (Efficiency) การเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ปฏิรูปครั้งนี้จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดของระบบสุขภาพไทยเพื่อลดการพึ่งพิงงบประมาณจากฐานภาษีเพียงอย่างเดียว







