เปิด MOU คลัง - แบงก์ชาติ กำหนดเป้าเงินเฟ้อปี 69 วางกรอบ 1-3% จับมือดูแลไม่ให้เกิด ‘เงินฝืด’

เปิด MOU คลัง-แบงก์ชาติ ลงนามร่วมกันดูแลเงินเฟ้อปี 2569 ให้อยู่ในกรอบเงินเฟ้อทั่วไป 1-3% ธปท.ชี้ปี 2569 เงินเฟ้อมีโอกาสต่ำกว่ากรอบพร้อมทำหนังสือเปิดผนึกชี้แจง ครม.มอบ 4 หน่วยงานเศรษฐกิจ เกาะติดสถานการณ์ หากเงินเฟ้อต่ำเป้าในปี 69 ให้หามาตรการแก้ไข
KEY
POINTS
- คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบข้อตกลงระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อทั่วไปสำหรับปี 2569 ให้อยู่ในกรอบ 1-3%
- เป้าหมายหลักของการกำหนดกรอบเงินเฟ้อคือเพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคา ควบคู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด
- กระทรวงการคลังและ ธปท. จะร่วมมือดำเนินนโยบายการคลังและการเงินให้สอดประสานกัน โดยมี 4 หน่วยงานเศรษฐกิจหลักร่วมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
- หากอัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะต้องออกจดหมายเปิดผนึกชี้แจงสาเหตุและแนวทางแก้ไขต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหารือออกมาตรการแก้ไข ก่อนเสนอ ครม.เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อต่ำกว่าเป้า
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.ที่ผ่านมา เห็นชอบเป้าหมายนโยบายการเงิน (กรอบเงินเฟ้อ) ปี 2569 โดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วง 1-3% ตามที่กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการหารือร่วมกันแล้ว โดยกรอบเงินเฟ้อ 1-3% เป็นกรอบเท่าเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2568
อย่างไรก็ตาม ครม. ได้มอบหมายให้หน่วยงานเศรษฐกิจที่สำคัญทั้งสี่หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สศช. และสำนักงบประมาาณ ติดตามสถานการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ เพราะที่ผ่านมามีช่วงที่เงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบที่กำหนดไว้ ซึ่งหากเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมายให้ 4 หน่วยงานเศรษฐกิจหารือกันเพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสม เพราะหากเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้
แหล่งข่าวจากทำเนี่ยบรัฐบาลเปิดเผยว่าข้อตกลงเรื่องการกำหนดกรอบเงินเฟ้อปี 2569 ในกรอบ 1-3% นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ทำข้อตกลงร่วมกันกับนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมาในการกำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลางและเป้าหมายสำหรับปี 2569
อาศัยมาตรา 28/8 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช 2485 ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ซึ่งกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายการเงินจัดทำเป้าหมายของนโยบายการเงินของปีถัดไป เพื่อดำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพด้านราคา โดยทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก่อนเสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติ
โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะประธาน กนง.ได้ทำความเข้าใจและตกลงร่วมกันดังนี้
1.ข้อตกลงร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายนโยบายการเงิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและ กนง. มีข้อตกลงร่วมกันโดยกำหนดให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วง 1-3% เป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินสำหรับระยะปานกลาง โดยเป้าหมายในปี 2569 จะดูแลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปทยอยกลับเข้าสู่เป้าหมายระยะปานกลาง รวมทั้งดูแลไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด หรืออัตราเงินเฟ้อที่ติดลบอย่างต่อเนื่องจากราคาสินค้าและบริการที่ลดลงในวงกว้าง
โดยเป้าหมายเงินระยะปานกลางที่ 1-3% มีความเหมาะสม เนื่องจากที่ผ่านมาเป้าหมายดังกล่าวทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพด้านราคาได้ดี ผ่านการยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง ในขณะที่ช่วง 1-3% มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับความผันผวนจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยด้านอุปทาน
2. การบรรลุเป้าหมายนโยบายการเงินในระยะปานกลาง การดำเนินนโยบายการเงินมุ่งดูแลเสถียรภาพด้านราคา ควบคู่ไปกับการขยายตัวของ เศรษฐกิจที่สอดคล้องกับศักยภาพและเสถียรภาพระบบการเงิน ภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting: FIT) โดยการลุเป้าหมายนโยบายการเงินในระยะปานกลาง อาศัยการยึดเหนี่ยว การคาดการณ์เงินเฟ้อของประชาชนและธุรกิจเป็นสำคัญ เพื่อให้เงินเฟ้อไม่ตำหรือสูงเกินไปต่อเนื่องจนกลายเป็น อุปสรรคต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจหรือกระทบเสถียรภาพระบบการเงิน
ทั้งนี้ในระยะข้างหน้าที่เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายหลายด้าน กระทรวงการคลังและ ธนาคารแห่งประเทศไทยจะร่วมมือในการดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน เพื่อดูแลให้เศรษฐกิจ เติบโตได้อย่างยั่งยืนสอดคล้องกับศักยภาพ และเอื้อให้แนวโน้มเงินเฟือกลับเข้าสู่เป้าหมาย โดยการดำเนิน นโยบายการเงินจะมุ่งดูแลภาวะเศรษฐกิจการเงินโดยใช้เครื่องมือแบบผสมผสาน ทั้งในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการใช้มาตรการทางการเงินในการแก้ปัญหาหนี้และสนับสนุนสินเชื่อใหม่ เพื่อเสริมการส่งผ่านของนโยบายการเงิน
3.ข้อตกลงในการติดตามและรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะหารือร่วมกันเป็นประจำ และ/หรือเมื่อเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินได้อย่าง มีประสิทธิภาพ และเพื่อให้การดำเนินนโยบายการคลังและนโยบายการเงินเป็นไปในทิศทางที่สอดประสานร่วมกันอันนำไปสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยกนง. จะจัดทำรายงานผลการดำเนินนโยบายการเงินทุกครึ่งปี ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวกั การดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา
แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะถัดไป และการคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจในอนาคต เพื่อแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทราบ รวมถึงจะเผยแพร่รายงานนโยบายการเงินทุกไตรมาสเป็นการทั่วไป อันจะช่วยเพิ่มการรับรู้ของสาธารณชนถึงแนวทางการตัดสินนโยบายการเงินของ กนง. ซึ่งจะช่วยเพิ่มความโปร่งใสและประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต
4.ข้อตกลงในการออกจดหมายเปิดผนึกของ กนง. ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเคลื่อนไหวออกนอกเป้าหมายนโยบายการเงิน
กนง.จะมีจดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เมื่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนที่ผ่านมาหรือประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ย 12 เดือนข้างหน้าเคลื่อนไหวออกนอกเป้าหมายระยะปานกลาง เพื่อสื่อสารและสร้างความเชื่อมั่นในการดูแลเสถียรภาพด้านราคาให้แก่สาธารณชน
โดยจะชี้แจงถึงประเด็นต่างๆ ดังนี้
(1) สาเหตุของการเคลื่อนไหวออกนอกเป้าหมายดังกล่าว
(2) แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมาและในระยะต่อไป เพื่อนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่เป้าหมายในระยะเวลาที่เหมาะสม
และ(3) ระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย นอกจากนี้ กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึก
ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังทุก 6 เดือน หากอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกเป้าหมาย และจะรายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร
5. ข้อตกลงในการแก้ไขเป้าหมายนโยบายการเงินหากมีเหตุจำเป็น ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. อาจตกลงร่วมกัน เพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอครม.พิจารณา
ทั้งนี้ กนง. ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยในปี 2569 จะอยู่ในระดับต่ำ โดย กนง.จะกำหนดนโยบายการเงินที่เอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทยอยกลับเข้าสู่เป้าหมายระยะปานกลางในปี 2570
อย่างไรก็ดีอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้ามีความไม่แน่นอนสูงจากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยด้านอุปทาน
อาทิ แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและราคาพลังงานโลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของปัจจัย
เชิงโครงสร้างที่ยังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะการแข่งขันที่เข้มขันขึ้นตามภูมิทัศน์การค้าโลกใหม่
การทวนกระแสโลกาภิวัตน์ และการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว ดังนั้น กนง. จะติดตามและประเมิน
ผลกระทบของปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ต่อพลวัตเงินเฟ้อไทยในระยะต่อไปอย่างใกล้ชิด







