เศรษฐกิจอาเซียน 2568 มองย้อนก่อนก้าวสู่ปีใหม่ | ASEAN Insight

การเติบโตของเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2568 ได้รับแรงผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งจากการขยายอำนาจทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจ และถูกจับตามองว่าเป็นศูนย์กลางของ “อุตสาหกรรมสแกม” อาเซียนจึงต้องเร่งปรับตัวด้วยการเสริมความร่วมมือภายในภูมิภาค เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ปี 2568 กำลังสิ้นสุดลง เศรษฐกิจอาเซียนเผชิญทั้งความผันผวนจากเศรษฐกิจโลกและความท้าทายภายในภูมิภาค รายงานของธนาคารพัฒนาเอเชียในเดือนธันวาคม ระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4.5% ลดลงจาก 4.8% ในปี 2567 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับลดจาก 3% เหลือ 2.4% โดยเวียดนามยังคงเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดที่ 7.4% ส่วนอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียง 5% ในทางกลับกัน ไทยต้องเผชิญการชะลอตัว โดยคาดว่าจะเติบโตเพียง 2% ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน
การเติบโตของเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2568 ได้รับแรงผลกระทบจากหลายปัจจัย ทั้งจากการขยายอำนาจทางเศรษฐกิจของมหาอำนาจ มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมด้านการค้า และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเทคโนโลยี โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญที่สั่นสะเทือนอาเซียนตลอดปี คือ ภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมาเลเซีย ไทย กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามต้องเผชิญอัตราภาษี 19-20% ขณะที่สิงคโปร์อยู่ที่ 10% และสปป.ลาวสูงถึง 40% มาตรการนี้ยังมาพร้อมเงื่อนไขที่แต่ละประเทศต้องตอบแทนผลประโยชน์แก่สหรัฐอเมริกาเพื่อแลกกับการผ่อนปรนภาษีศุลกากร สถานการณ์นี้สะท้อนถึงความเปราะบางของภูมิภาคต่อแรงกดดันจากภายนอก และตอกย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความร่วมมือภายในอาเซียนเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาคในระยะยาว
ปี 2568 อาเซียนเผชิญภัยพิบัติทางธรรมชาติรุนแรงต่อเนื่อง เริ่มด้วยแผ่นดินไหวในเมียนมาที่แรงสั่นสะเทือนถึงไทย พายุถล่มฟิลิปปินส์และเวียดนาม รวมถึงอุทกภัยครั้งใหญ่ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายมหาศาลต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังทิ้งผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยืดเยื้อ รายงานของธนาคารโลก ระบุว่า หลังแผ่นดินไหวในเมียนมามีเพียง 45% ของบริษัทและครัวเรือนที่สามารถฟื้นตัวกลับสู่ระดับเดิม ทั้งนี้ยังส่งผลให้การบริโภคลดลงและความยากจนเพิ่มขึ้น
ท่ามกลางแรงกดดันจากทั้งเศรษฐกิจโลกและภัยพิบัติ อาเซียนยังถูกจับตามองว่าเป็นศูนย์กลางของ “อุตสาหกรรมสแกม” ปัญหานี้สร้างผลกระทบหลายด้านทั้งความเสียหายทางการเงิน ทำลายความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล และบั่นทอนภาพลักษณ์ของประเทศในสายตานักลงทุน ปัจจัยสำคัญที่เปิดช่องให้ปัญหานี้ดำเนินต่อไป คือ ความอ่อนแอของรัฐบาลและการทุจริตภายใน แม้หลายประเทศในอาเซียนมีความพยามในการออกมาตรการ เช่น การลงทะเบียนซิมใหม่ การยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังติดข้อจำกัดด้านศักยภาพ ส่วนภาคเอกชนมีบริษัทเทคโนโลยีใช้ AI ตรวจจับ ธนาคารและผู้ให้บริการโทรคมนาคมลงทุนในระบบวิเคราะห์แบบเรียลไทม์เพื่อป้องกันการฉ้อโกง
นอกจากนี้ อาเซียนยังเผชิญความท้าทายภายในภูมิภาคจากความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งแม้ล่าสุดจะมีการข้อตกลงหยุดยิง แต่สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย เพราะทั้งสองฝ่ายยังคงจับตาท่าทีของกันและกัน ผลจากความขัดแย้งนี้ส่งผลให้ประชาชนตามแนวชายแดนต้องพลัดถิ่น สูญเสียชีวิตและรายได้ ต้องดำเนินชีวิตท่ามกลางความไม่ปลอดภัย ขณะที่การค้าชายแดนและการลงทุนในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เหตุการณ์นี้ไม่เพียงกระทบเศรษฐกิจท้องถิ่น แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพของภูมิภาคอาเซียนในภาพรวม
จากข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจอาเซียน ปี 2568 ที่ผ่านมา สะท้อนความท้าทายรอบด้านของภูมิภาค สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงกระทบต่อการเติบโต แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและประชาคมโลก อาเซียนจึงต้องเร่งปรับตัวด้วยการเสริมความร่วมมือภายในภูมิภาค ลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมยกระดับธรรมาภิบาลและความโปร่งใส เพื่อเปลี่ยนความเปราะบางให้เป็นความแข็งแกร่ง และก้าวสู่ปีใหม่อย่างมั่นคง







