‘บีโอไอ’กางแผนดันลงทุนปี69 ทะลุ 1.3 ล้านล้าน ชู 5 ภารกิจดันลงทุนพลิกโฉมเศรษฐกิจประเทศ

“บีโอไอ” กางแผนปี 2569 ชู 5 ภารกิจใหญ่ มั่นใจตัวเลขขอส่งเสริมฯพุ่งสูงกว่าปีก่อน ทะลุ 1.3 ล้านล้าน เร่งปลดล็อกอุปสรรคที่ดิน-ไฟฟ้าสีเขียว-เตรียมพร้อมแรงงาน 1 แสนคน รองรับ High-Tech ดันพื้นที่ลงทุนใหม่ภาคเหนือ-อีสาน
KEY
POINTS
- “บีโอไอ” กางแผนปี 2569 ชู 5 ภารกิจใหญ่ มั่นใจตัวเลขขอส่งเสริมฯพุ่งสูงกว่าปีก่อน ทะลุ 1.3 ล้านล้าน
- เร่งปลดล็อกอุปสรรคที่ดิน-ไฟฟ้าสีเขียว-เตรียมพร้อมแรงงาน 1 แสนคน รองรับ High-Tech
- ดันพื้นที่ลงทุนใหม่ภาคเหนือ-อีสาน พร้อมใช้กลไก Fast Pass เร่งดึงลงทุนอุตสาหกรรมมูลค่าสูงหลังอนุมัติแล้ว 16 โครงการ 1.7 แสนล้าน
- รับนโยบายทรัมป์-เงินบาทแข็งค่า กระทบนักลงทุน ชี้นโยบายรัฐหนุนการลงทุนการเมืองเปลี่ยนไม่กระทบ
ท่ามกลางภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกที่เผชิญแรงปะทะจากสงครามการค้า (Trade War) และสงครามเทคโนโลยี (Tech War) ทวีความรุนแรงและคาดเดาได้ยาก ในขณะที่ไทยกำลังยืนอยู่บน “จังหวะสำคัญ” ของการเป็นฐานรองรับการลงทุนโลก โดยเฉพาะในสายตานักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง ซึ่งส่งผลให้อาเซียนรวมถึงไทยกลายเป็นแหล่งรองรับการลงทุนที่โดดเด่น
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าแนวโน้มการลงทุนในไทยปี 2569 มีแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อเนื่องจากปี 2568
ทั้งนี้มูลค่าคำขอรับส่งเสริมการลงทุนปี 2568 สูงกว่าปี 2567 ที่มีมูลค่ารวม 1.13 ล้านล้านบาท โดยช่วง ม.ค.-ก.ย.2568 ยอดคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนมีถึง 1.3 ล้านล้านบาท ดังนั้นปี 2569 การดึงการลงทุนมีแนวโน้มเติบโตจากปัจจัยหลัก ได้แก่
1.กระแสการโยกย้ายฐานการลงทุนระหว่างประเทศ เนื่องจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่จำนวนมากที่เคยมีฐานผลิตในจีน ขณะเดียวกันเริ่มออกมาหาฐานผลิตใหม่ แม้ยังคงฐานผลิตในจีนสำหรับตลาดจีน (China for China) และมุ่งมาลงทุนอาเซียนเพื่อใช้เป็นฐานผลิตและส่งออกไปตลาดโลกและตลาดสหรัฐ
2.การพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดและการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เร่งลงทุนกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยเฉพาะดาต้าเซ็นเตอร์และโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่เกิดขึ้นเร็ว รวมทั้งกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงและอุปกรณ์ มีการลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวดังกล่าว
3.เทรนด์โลกที่มุ่งสู่ความยั่งยืนและเป้าหมายการลดคาร์บอน ทำให้เกิดกระแสการลงทุนสีเขียว ได้แก่ Green products, Green packaging, Green supply chain & logistics โดยเฉพาะพลังงานสะอาดมีความต้องการเพิ่มขึ้นมาก ทำให้เกิดการลงทุนพลังงานสะอาดพุ่งขึ้นมากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
4.การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ทำให้กำลังแรงงานลดลง โดยไทยต้องยกระดับบุคลากรให้ทำงานที่มีคุณค่าสูงขึ้น และใช้เทคโนโลยีช่วยทำงานแทนคนมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการขยายตัวการลงทุนกลุ่มธุรกิจดิจิทัล รวมทั้งอุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ขยายตัวเร็ว
5.มาตรการภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) ซึ่งเป็นกติกาภาษีใหม่ทำให้แต่ละประเทศต้องแข่งขันกันด้วยเครื่องมืออื่นที่ไม่ใช่แค่ภาษี เช่น ความสะดวกในการลงทุนและปัจจัยสนับสนุนอื่นๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น
นักลงทุนห่วง “ทรัมป์-ค่าเงิน” กดดันปี69
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนกังวลที่สุดในปี 2569 คือความไม่แน่นอนจากนโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ รวมทั้งความผันผวนค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวทิศทางแข็งค่าเร็ว ซึ่งกระทบต่อกลุ่มผู้ส่งออกที่เข้ามาลงทุนในไทยมาก
นายนฤตม์ กล่าวว่า สิ่งที่บีโอไอจะผลักดันให้เกิด “การลงทุน” ในไทยนั้นไม่เพียงเป็นการส่งเสริมการลงทุนเท่านั้น แต่จะนำไปสู่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และพัฒนาระบบนิเวศภายในประเทศให้พร้อมรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนใน 5 ภารกิจ คือ
1.การดึงการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะการสร้างฐาน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ให้มีความมั่นคงและแข็งแกร่งขึ้น ได้แก่ BCG, ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนสำคัญ, เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ดิจิทัลและ AI, กิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (Regional Headquarter) รวมทั้งอุตสาหกรรมเป้าหมายอื่น เช่น ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ อากาศยาน การแพทย์
2.การดึงดูดกลุ่มบุคลากรทักษะสูง หรือ Talent มาช่วยพัฒนาประเทศผ่านการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน และสิทธิประโยชน์อื่น โดย BOI รับผิดชอบวีซ่า 3 ประเภทสำคัญ คือ BOI visa, Long-term Resident (LTR) visa และ SMART visa
3.การพัฒนาบุคลากรไทย เพื่อรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยผลักดันผ่าน “มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่” เป็นการให้เงินสนับสนุนการฝึกอบรมผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งมีผู้ยื่นขออนุมัติหลักสูตรกว่า 100 ราย รวมกว่า 1,000 หลักสูตร
ทั้งนี้ มีตั้งเป้าหมายผู้เข้ารับการฝึกอบรม 100,000 คน ได้รับผลตอบรับที่ดีอย่างมาก ขณะนี้อยู่ระหว่างการคัดกรอง ซึ่งทำงานร่วมกันระหว่าง BOI กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และภาคเอกชน โดยจะทยอยอนุมัติตั้งแต่เดือน ม.ค.2569
สร้างความเข้มแข็งซัพพลายอุตสาหกรรมใหม่
4.การเสริมสร้างความเข้มแข็งซัพพลายเชนรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) และดาต้าเซ็นเตอร์
ทั้งนี้ BOI จะจัดกิจกรรมเชื่อมโยงระหว่างบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศและผู้ผลิตชิ้นส่วนไทย เช่น งาน Subcon Thailand, THECA และงาน Sourcing Day รวมทั้งมีมาตรการด้านสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างชาติ และส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ เพื่อสร้างระบบนิเวศให้อุตสาหกรรมในอนาคต
ขณะเดียวกันหากไทยเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ได้จะสนับสนุนการลงทุน โดยเฉพาะ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) จะส่งเสริมการลงทุน เพราะ EU เป็นตลาดใหญ่ที่จะดึงบริษัทใหญ่มาลงทุนได้
5.การอำนวยความะสะดวกในการลงทุน (Ease of Investment) ผ่านกลไก “Thailand Fast Pass” ซึ่งคณะกรรมการ BOI เห็นชอบโครงการที่จะได้รับบัตร Fast Pass ล็อตแรก จำนวน 16 โครงการ เงินลงทุน 170,000 ล้านบาท
รวมทั้งกำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อตกลงการให้บริการร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร เช่น กรมโรงงานอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรม (กนอ.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กรมศุลกากร กรมโยธาธิการและผังเมือง การไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง โดยจะลดขั้นตอนขอใบอนุญาตลงได้ 20-50%
เร่งแก้ปัญหาที่ดินรองรับการลงทุน
นอกจากนี้ จะแก้ปัญหาการลงทุน 2 ประเด็น คือการแก้ปัญหาด้านที่ดิน และไฟฟ้า โดยในด้านที่ดินในปัจจุบันที่ดินผืนใหญ่ที่อยู่ผังเมืองสีม่วง (อุตสาหกรรม) โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เริ่มขาดแคลนและมีราคาสูง
ดังนั้น BOI เร่งประสานเพื่อแก้ปัญหา โดยเฉพาะลำลางสาธารณะที่ไม่ปรากฎการใช้ประโยชน์ในพื้นที่แล้ว แต่เป็นเงื่อนไขทางกฎหมายที่ทำให้การพัฒนาที่ดินล่าช้า ซึ่งปัจจุบันมีกว่า 20 โครงการที่ติดปัญหานี้
นอกจากนี้ มีแผนเปิดพื้นที่การลงทุนใหม่ เช่น คลัสเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ในภาคเหนือ (ลำพูน-ลำปาง) และอุตสาหกรรมแปรรูปในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อกระจายการลงทุนไปภูมิภาค
ส่วนปัญหาพลังงานพบว่านักลงทุนต้องการพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่กลุ่มดาต้าเซนเตอร์ และเซมิคอนดักเตอร์ ต้องการพลังงานสะอาด 100% โดย BOI ทำงานร่วมกับกระทรวงพลังงาน เพื่อผลักดันกลไก Direct PPA 2,00 เมกะวัตต์ และ UGT 2 (Utility Green Tariff) ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ตรวจสอบแหล่งที่มาได้
รวมทั้งอยู่ระหว่างทำแผนที่พลังงาน (Power Map) ร่วมกับกระทรวงพลังงานเพื่อดูพื้นที่ที่มีความพร้อมในการลงทุนดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งอาจอยู่นอกเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
จับตาเทรนด์รถยนต์ “ระบบอัจฉริยะ”
สำหรับการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทยมีเป้าหมายใหญ่ โดยเปลี่ยนจากผู้นำเข้า EV เป็นผู้ผลิตเพื่อรักษาฐานการผลิตรถยนต์ในประเทศ แม้ปัจจุบันจะมีสงครามราคาที่เกิดจากการหดตัวของตลาดรถยนต์ในประเทศ แต่ BOI และคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ได้ปรับมาตรการต่อเนื่อง เช่น การให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเพื่อจูงใจให้ค่ายรถส่งออกมากขึ้น เพื่อลดสต็อกในประเทศ
รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศที่ครบวงจรมากกว่าการมุ่งเน้นเพียงโรงงานประกอบรถยนต์ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม EV ที่แบตเตอรี่เป็นหัวใจสำคัญ
ทั้งนี้ ได้ส่งเสริมโครงการแบตเตอรี่ระดับโมดูลและแพ็คไปแล้วเกือบ 50 โครงการ และเร่งผลักดันการผลิตระดับเซลล์ ซึ่งเป็นต้นน้ำ โดยปัจจุบันมีโรงงานของบริษัท Sunwoda เข้ามาลงทุนแล้ว และอยู่ระหว่างเจรจาอีก 2-3 โครงการ เพื่อให้ไทยเป็นฐานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ รวมถึงการดึงผู้ผลิตวัตถุดิบต้นน้ำมาในห่วงโซ่อุปทานด้วย
นอกจากนี้ จากการหารือกับกลุ่ม China EV100 ซึ่งเป็นคลังสมองด้านนโยบาย EV ของรัฐบาลจีน พบว่าเทรนด์ใหญ่ของรถยนต์ในอนาคตไม่ใช่พลังงานสะอาดเท่านั้น แต่จะเน้นระบบอัจฉริยะ (Intelligent System) ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินความแตกต่างของแต่ละแบรนด์ ดังนั้นไทยต้องสร้างระบบนิเวศรองรับทั้งชิป อิเล็กทรอนิกส์ และระบบอัตโนมัติ
เร่งดันลงทุนเซมิคอนดักเตอร์
สำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ จะเน้นดึงดูดการลงทุนในส่วนต้นน้ำและกลางน้ำ เช่น การออกแบบชิป และการประกอบและทดสอบขั้นสูง เพื่อให้ไทยเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างมั่นคง
ทั้งนี้ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติต่อประเทศไทยยังแข็งแกร่ง เนื่องจากนโยบายส่งเสริมการลงทุนของไทยมีความชัดเจนและต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใดก็ตามนโยบายเรื่องการส่งเสริมการลงทุนนั้นไม่ได้รับผลกระทบ
“เราต้องเลือกอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง (High Value) และใช้เทคโนโลยี (High Tech) เพราะเราไม่ได้มีแรงงานราคาถูกเหมือนในอดีต เป้าหมายของเราคือการทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศและฐานผลิตนวัตกรรมของภูมิภาคในอนาคต”







