พลิกโฉมเศรษฐกิจไทย ก้าวข้ามกับดักด้วย Innovation-Driven Economy | ASEAN Insight

ไทยเติบโตมาด้วยแต้มต่อด้านต้นทุน ค่าแรงที่แข่งขันได้ และการเป็นฐานรับจ้างผลิต (OEM) ให้แบรนด์สินค้าระดับโลก แต่ภูมิทัศน์การค้าวันนี้เปลี่ยนไป ทางรอดเดียวที่เหลืออยู่คือการเร่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม
ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและรุนแรง ปี 2568 กำลังกลายเป็นปีแห่งการคัดกรองครั้งใหญ่ว่าใครจะอยู่รอดในระยะยาว งานศึกษาที่น่าสนใจของ OECD เรื่อง The Best versus the Rest (2568) ซึ่งว่าด้วยภาวะชะลอตัวของผลิตภาพโลก ชี้ให้เห็นความจริงว่าโลกธุรกิจกำลังถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน คือ “กลุ่มบริษัทแนวหน้า” ที่วิ่งนำด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย กับ “กลุ่มบริษัทตามหลัง” ที่กำลังถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อย ๆ
โจทย์ใหญ่ในวันนี้สำหรับผู้ประกอบการไทยคือ เราสร้างคุณค่าอะไรที่แตกต่างและโลกจะยอมจ่าย สัญญาณชีพทางเศรษฐกิจบ่งบอกชัดเจนว่า โมเดลความสำเร็จแบบเก่าที่พึ่งพาแรงงานราคาถูกและการรับจ้างผลิต กำลังจะหมดอายุลง ทางรอดเดียวที่เหลืออยู่คือการเร่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม (Innovation-Driven Economy) ที่ขับเคลื่อนด้วยความคิดสร้างสรรค์ และเทคโนโลยี
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ไทยเติบโตมาด้วยแต้มต่อด้านต้นทุน ค่าแรงที่แข่งขันได้ และการเป็นฐานรับจ้างผลิต (OEM) ให้แบรนด์สินค้าระดับโลก แต่ภูมิทัศน์การค้าวันนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เรากำลังเผชิญหน้ากับสงครามราคาจากยักษ์ใหญ่ที่มีกำลังการผลิตมหาศาล สินค้าทุนต่ำไหลทะลักผ่านอีคอมเมิร์ซไร้พรมแดน ในขณะที่คู่ค้ารายใหญ่ในตะวันตกกลับตั้งกำแพงการค้าที่มองไม่เห็น ผ่านเงื่อนไขด้านสิ่งแวดล้อม สิทธิแรงงาน และความยั่งยืน (ESG)
ไม่มีทางที่เราจะผลิตได้ถูกและเร็วเท่าประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า รายงาน Thailand Economic Monitor (2568) ของธนาคารโลกได้ย้ำเตือนว่า การยกระดับนวัตกรรมของ SME เป็นเงื่อนไขบังคับของการอยู่รอดของธุรกิจ ในสมการการค้าใหม่นี้ หากไทยยังดึงดันสู้ด้วยราคาและปริมาณ เราจะแพ้ตั้งแต่ยังไม่ออกตัว
สำหรับธุรกิจไทย นวัตกรรมอาจเริ่มง่ายๆ จากการมองมุมกลับเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรเดิม เช่น การสกัดสารสำคัญจากเปลือกทุเรียนที่มีมูลค่าสูง แทนการขายทุเรียนผลสดที่ราคาผันผวนตามฤดูกาล หรือเปลี่ยนจากโรงงานปั๊มชิ้นส่วนยานยนต์ มาเป็นผู้พัฒนาเซนเซอร์สำหรับรถยนต์ EV เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ได้เริ่มจากศูนย์ เรามีต้นทุนเดิมที่แข็งแกร่ง ซึ่งหากผนวกเข้ากับเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะสามารถมีโอกาสก้าวกระโดดได้จริง เช่น
1) นวัตกรรมอาหารและเกษตร (FoodTech / AgriTech): ไทยต้องขยับตำแหน่งจาก “ครัวของโลก” สู่ “ครัวแห่งอนาคต” ที่มุ่งเน้นการนำเสนอโซลูชันอาหาร เช่น โปรตีนทางเลือก อาหารฟังก์ชันนอล (Functional Food) หรืออาหารเฉพาะบุคคลที่ออกแบบตามพันธุกรรมและไลฟ์สไตล์
2) เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy): หากเชื่อมโยงทุนทางวัฒนธรรมของเรากับแพลตฟอร์มดิจิทัล เราสามารถส่งออก Soft Power สร้างประสบการณ์ใหม่ที่เพิ่มรายได้ให้ศิลปินและชุมชนท้องถิ่นได้จริง
และ 3) บริการสุขภาพและเวลเนส (Wellness Tech): หากมีการนำ Data และ AI มาช่วยวิเคราะห์สุขภาพเชิงลึก ออกแบบการรักษาเฉพาะบุคคล เชื่อมโยงโรงพยาบาล สปา และบริการออนไลน์เข้าด้วยกัน มูลค่าทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะทวีคูณมหาศาล
การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่ภารกิจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ภาคเอกชนต้องมอง R&D ว่าเป็นต้นทุนแห่งอนาคต ขณะที่ภาครัฐต้องเร่งปลดล็อกหรือผ่อนคลายกฎระเบียบที่ล้าสมัย ให้ธุรกิจใหม่ได้ลองผิดลองถูก และสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี
ถึงเวลาแล้วที่ผู้ประกอบการไทยต้องลุกขึ้นมาเป็นผู้สร้างสรรค์ที่กำหนดทิศทางตลาดได้เอง เพราะในโลกยุคใหม่ ทางรอดไม่ใช่ทางเลือก แต่คือการตัดสินใจในวันนี้ว่า เราจะเป็นผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือจะเป็นผู้กำหนดเส้นทางสู่อนาคตด้วยมือของเราเอง







