เศรษฐกิจอาเซียนปี 2569 เร่งปฏิรูปเชิงโครงสร้างรับมือความผันผวน | ASEAN Insight

ปี 2569 เศรษฐกิจอาเซียนยังคงถูกจัดอยู่ในกลุ่มภูมิภาคที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลก แต่อาเซียนยังต้องเร่งปรับตัวรับมือกับภาวะเปราะบางทางเศรษฐกิจที่ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง
ปี 2569 เศรษฐกิจอาเซียนยังคงถูกจัดอยู่ในกลุ่มภูมิภาคที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลก จากรายงานของธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจอาเซียนปี 2569 ว่าจะขยายตัวประมาณ 4.4% ประเทศที่เป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญของภูมิภาค ได้แก่ เวียดนาม คาดว่าจะเติบโตโดดเด่นที่สุดในภูมิภาคที่ 6.4% ตามด้วยฟิลิปปินส์ 5.3% อินโดนีเซีย 5.1% และมาเลเซีย 4.3% เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตที่เปราะบางราว 1.6% เนื่องจากปัญหาเชิงโครงสร้างภาคการผลิตและหนี้ครัวเรือนที่สูง
การเติบโตของเศรษฐกิจอาเซียนได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศ การฟื้นตัวของภาคบริการ และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรมใหม่เป็นหลัก อย่างไรก็ตามการเติบโตดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
รายงาน ADB ระบุว่า ความเสี่ยงหลักของอาเซียนมาจากความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้าย ทิศทางนโยบายการเงินของประเทศพัฒนาแล้ว และภาระหนี้ทั้งภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้นในหลายประเทศ หลังช่วงการกระตุ้นเศรษฐกิจยาวนานในทศวรรษที่ผ่านมา
สอดคล้องกับรายงานการค้าและการพัฒนา ปี 2568 จัดทำโดย UNCTAD ซึ่งระบุว่า ตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวไม่สะท้อนคุณภาพการพัฒนา หากโครงสร้างการเงินและการพัฒนาภายในประเทศยังเปราะบาง โดยเฉพาะการพึ่งพาระบบการเงินโลกที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของภูมิภาค
รายงาน UNCTAD ระบุว่า แม้ขนาดประเทศกำลังพัฒนามีสัดส่วนมากกว่า 40% ของ GDP โลก และมีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 45% ของการส่งออกสินค้าโลก แต่กลับมีส่วนแบ่งในตลาดทุนโลกต่ำกว่ามาก ตลาดทุนประเทศพัฒนาแล้วยังคงมีมูลค่าสูงกว่าประเทศกำลังพัฒนากว่า 3 เท่า ส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของประเทศในอาเซียนยังสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
ประเด็นสำคัญที่ UNCTAD เน้นย้ำคือ ต้องมองว่าการค้าไม่สามารถแยกออกจากการเงินได้ ซึ่งมากกว่า 90% ของการค้าโลกต้องพึ่งพาระบบสินเชื่อ การชำระเงิน และตลาดเงินระหว่างประเทศ ซึ่งยังคงกระจุกตัวอยู่ในประเทศพัฒนาแล้ว การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ หรือยุโรปเพียงเล็กน้อย สามารถส่งผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย อัตราแลกเปลี่ยน และต้นทุนการนำเข้า–ส่งออกของประเทศอาเซียนได้อย่างรวดเร็ว
แม้อาเซียนมีความก้าวหน้าในการรวมกลุ่มทางการค้า เช่น เขตการค้าเสรีอาเซียน ความตกลง RCEP และการอำนวยความสะดวกทางศุลกากร แต่ในเชิงการเงิน อาเซียนยังขาดกลไกระดับภูมิภาคที่เข้มแข็งพอจะรองรับความผันผวนจากวัฏจักรการเงินโลก
ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) อาเซียนยังเป็นหนึ่งในจุดหมายหลักของเงินลงทุนโลก โดยประเทศกำลังพัฒนาได้รับ FDI มากกว่า 50% ของ FDI โลก เมื่อพิจารณาเชิงโครงสร้างพบว่า FDI ส่วนใหญ่ยังคงกระจุกตัวในอุตสาหกรรมการผลิตขั้นกลางและขั้นปลาย ขณะที่การลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและกิจกรรมทางการเงินมูลค่าสูงยังคงอยู่ในประเทศพัฒนาแล้ว
การดำเนินงานของอาเซียนในช่วงที่ผ่านมาเน้นหนักไปที่การลดภาษี การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน และการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งมีส่วนช่วยยกระดับศักยภาพการผลิตและการจ้างงาน แต่ควรพัฒนาตลาดทุนในประเทศ สร้างแหล่งเงินระยะยาว และเพิ่มบทบาทของภาคธุรกิจท้องถิ่นในห่วงโซ่มูลค่าได้จริง
อาเซียนต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับภาวะเปราะบางทางเศรษฐกิจที่ยังคงต่อเนื่องถึงปี 2569 โดยต้องบริหารความเสี่ยงเชิงโครงสร้างเพื่อรับมือกับความผันผวนของค่าเงิน ต้นทุนทางการเงินที่อาจเพิ่มขึ้น รวมทั้งมาตรฐานทางการค้าและสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นในตลาดโลก
อาเซียนควรเร่งการลงทุนในเทคโนโลยี ดิจิทัล และการพัฒนาทักษะแรงงาน ควบคู่กับการเสริมสร้างความสามารถด้านการเงินและการบริหารความเสี่ยง ส่งเสริมความร่วมมือในการสร้างระบบนิเวศทางการเงินในระดับภูมิภาค (Regional Capital Markets) เพื่อการลดการพึ่งพาสกุลเงินเดียวในการค้าและการลงทุน







