สุญญากาศการเมือง ฉุดลงทุนพลังงานสะอาด 'โซลาร์ลอยน้ำ' ค้างท่อ

สุญญากาศการเมือง ฉุดลงทุนพลังงานสะอาด 'โซลาร์ลอยน้ำ' ค้างท่อ

"กฟผ." เร่งชงโครงการใหญ่เข้าครม.ใหม่ "โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ" แท้งก่อน "อนุทิน" ประกาศยุบสภาฯ เสี่ยงดีเลย์ Net Zero-ลงทุนสะดุด

KEY

POINTS

  • การยุบสภาฯ ทำให้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ ระยะเร่งด่วน 3 โครงการ กำลังผลิตรวม 348 เมกะวัตต์ ของ กฟผ. ต้องหยุดชะงักลง
  • โครงการที่ได้รับผลกระทบประกอบด้วย โซลาร์ลอยน้ำในเขื่อนศรีนครินทร์, เขื่อนภูมิพล และเขื่อนวชิราลงกรณ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการประกวดราคาและพิจารณาเอกสาร
  • ความล่าช้าจากสุญญากาศทางการเมืองส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาทต้องชะลอตัว กระทบต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนการลดคาร์บอน
  • กฟผ. เตรียมเสนอโครงการดังกล่าวต่อครม.ชุดใหม่ทันที เพื่อให้ทันต่อเป้าหมาย Net Zero ของประเทศที่เลื่อนมาเร็วขึ้น
  • ความล่าช้าทางการเมืองอาจทำให้ต้นทุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศสูงขึ้น และกระทบความสามารถในการแข่งขันระยะยาว

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เดินเกมเร่งโครงการพลังงานสะอาดขนาดใหญ่ หวังดันเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่โดยเร็ว หลังหลายโครงการ “แท้ง” จากการที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาฯ ส่งผลให้แผนลดคาร์บอนและการลงทุนภาครัฐมูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาทต้องชะลอ ท่ามกลางโจทย์ใหญ่ของประเทศในการเร่งสู่เป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้น

นายวฤต รัตนชื่น รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้ขยับเป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) มาเป็นปี 2593 เร็วกว่าแผนเดิมถึง 15 ปี ทำให้ กฟผ.จำเป็นต้องเร่งเดินหน้าโครงการพลังงานสะอาดและโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า โดยต้องพิจารณาควบคู่ทั้งความมั่นคงของระบบไฟฟ้า อัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสม และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม

กฟผ.จึงเดินหน้าศึกษาและพัฒนาโครงการในหลายมิติ ตั้งแต่ระบบสายส่ง พลังงานหมุนเวียน ไปจนถึงเทคโนโลยีใหม่อย่างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และไฮโดรเจน เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าในอนาคต โดยเฉพาะจากอุตสาหกรรมใหม่และดาต้าเซ็นเตอร์ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

โซลาร์ลอยน้ำ “ตัวเร่งลดคาร์บอน” สะดุดการเมือง

รายงานข่าวระบุว่า หนึ่งในโครงการหลักที่ กฟผ. อยู่ระหว่างนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) คือ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar) ในเขื่อนต่างๆ ของ กฟผ. ซึ่งมีแผนพัฒนาให้มีกำลังผลิตรวม 2,725 เมกะวัตต์ ภายในปี 2573 โดยจะเร่งรัดการประกวดราคาและเตรียมเสนอ ครม.ใหม่ทันที หากได้รับความเห็นชอบ จะช่วยเร่งลดการปล่อยคาร์บอนและกระตุ้นเศรษฐกิจได้พร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม โครงการ Floating Solar ระยะเร่งด่วน 3 โครงการ กำลังผลิตรวม 348 เมกะวัตต์ ซึ่งเดิมเตรียมเสนอ ครม.ในเดือนธันวาคม 2568 ต้องสะดุดจากการยุบสภาฯ ประกอบด้วย

  • เขื่อนศรีนครินทร์ 140 เมกะวัตต์ (อยู่ระหว่างประกวดราคา)
  • เขื่อนภูมิพล 158 เมกะวัตต์ (อยู่ระหว่างสรุปผลประกวดราคา)
  • เขื่อนวชิราลงกรณ 50 เมกะวัตต์ (อยู่ระหว่างพิจารณาเอกสาร)

ในภาพรวม โครงการ Floating Solar 3 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณ จะมีกำลังผลิตรวม 1,638 เมกะวัตต์ สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 20.56 ล้านตัน ตลอด 25 ปี ซึ่งขณะนี้โครงการระยะที่ 1 อยู่ระหว่างเสนอ ครม.อนุมัติ

ลงทุนสะอาด ต้นทุนไฟฟ้าต่ำ เสริมความมั่นคงพลังงาน

อย่างไรก็ตาม โครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำมีต้นทุนเฉลี่ยราว 20 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในระยะยาว ลดการพึ่งพาการนำเข้าเชื้อเพลิงจากต่างประเทศที่มีความผันผวนสูง และเพิ่มความมั่นคงให้ระบบไฟฟ้าของประเทศ โดย กฟผ.มีบทเรียนความสำเร็จจากโครงการเขื่อนสิรินธรและเขื่อนอุบลรัตน์ ที่สามารถขยายผลสู่เขื่อนอื่นได้ทันที

ปี 2569 กฟผ.มีแผนลงทุนรวมกว่า 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการก่อสร้างและปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าราว 13,000 ล้านบาท และการบำรุงรักษาเสถียรภาพโรงไฟฟ้าแม่เมาะกว่า 9,200 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน กฟผ.อยู่ระหว่างศึกษาการนำไฮโดรเจนมาใช้เป็นเชื้อเพลิงร่วมกับก๊าซธรรมชาติในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม 6 แห่ง ตั้งเป้าผสมไฮโดรเจนในสัดส่วน 5% รวมถึงการพัฒนาเชื้อเพลิงไฮโดรเจนและแอมโมเนียในพื้นที่ศักยภาพ

นอกจากนี้ ยังเดินหน้าผลักดันโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) กำลังผลิตไม่เกิน 300 เมกะวัตต์ เพื่อรองรับความต้องการไฟฟ้าคุณภาพสูงของนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ใน EEC ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับไฟฟ้าสะอาดและเสถียรภาพระบบ

พร้อมกันนี้ กฟผ.ยังเร่งพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน เช่น โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ และศูนย์พยากรณ์พลังงานหมุนเวียน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้าในยุคพลังงานสะอาด

การเมืองเสมือนตัวแปรต้นทุนพลังงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากโครงการ Floating Solar ได้รับความเห็นชอบจาก ครม.ชุดใหม่ จะเกิดเม็ดเงินลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่การลดคาร์บอน แต่ความล่าช้าจากสุญญากาศทางการเมืองอาจทำให้ต้นทุนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของประเทศสูงขึ้น และกระทบความสามารถแข่งขันในระยะยาว