กนอ. ชี้ เสถียรภาพการเมือง ตัวแปรชี้ขาดเศรษฐกิจ ฉุด FDI-GDP เสี่ยงโตต่ำ

กนอ. ชี้ เสถียรภาพการเมือง ตัวแปรชี้ขาดเศรษฐกิจ ฉุด FDI-GDP เสี่ยงโตต่ำ

"กนอ." ชี้การเมืองไม่นิ่ง ตัวฉุดลงทุน "FDI-GDP" ประเทศ ยืนยัน “รัฐบาลต้องอยู่ครบวาระ” นักลงทุนต่างชาติกล้าตัดสินใจ

KEY

POINTS

  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมปี 2568 ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ 
  • นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนสูงและมีระยะเวลาคืนทุนยาว กำลังชะลอการตัดสินใจขั้นสุดท้ายเพื่อรอความชัดเจนด้านเสถียรภาพและความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาล
  • เศรษฐกิจต้องการ "ความมีเสถียรภาพ" เป็นเงื่อนไขพื้นฐาน หากรัฐบาลสามารถอยู่ครบวาระ 4 ปี จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและเร่งการตัดสินใจลงทุนได้โดยอัตโนมัติ
  • กนอ. คาดการณ์ว่าหากสถานการณ์การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้นในปี 2569 ยอดขายที่ดินจะสามารถกลับไปแตะระดับ 12,000 ไร่ได้อีกครั้ง ตอกย้ำว่าเสถียรภาพการเมืองคือตัวแปรชี้ขาดการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่รอบการย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ ประเทศที่ได้ประโยชน์ไม่ใช่ประเทศที่ “ต้นทุนต่ำที่สุด” แต่คือประเทศที่ คาดเดาได้มากที่สุด และสำหรับประเทศไทย ปัจจัยที่นักลงทุนจับตามากกว่านโยบายส่งเสริมการลงทุน คือ เสถียรภาพทางการเมืองและความต่อเนื่องของรัฐบาล

กรณีการชะลอการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันนออก (EEC) ในปี 2568 ไม่ได้สะท้อนการเสื่อมความสามารถในการแข่งขันของไทย แต่สะท้อนว่า นักลงทุนกำลังประเมินความเสี่ยงเชิงนโยบาย (Political Risk) อย่างจริงจังมากขึ้น

EEC ถูกออกแบบให้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ ทั้งในมิติอุตสาหกรรมใหม่ เทคโนโลยีขั้นสูง และการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจ แต่การลงทุนในพื้นที่ EEC มีลักษณะเฉพาะ คือเป็น การลงทุนขนาดใหญ่ ใช้เงินสูง และมีระยะคืนทุนยาว 10-20 ปี

ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว นักลงทุนจึงให้ความสำคัญสูงสุดกับคำถามเดียวคือ “รัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้นานพอหรือไม่

สัญญาณการชะลอของ FDI ไม่ได้หมายความว่านักลงทุนปฏิเสธประเทศไทย หากแต่กำลัง “รอจังหวะ” ที่ความเสี่ยงด้านนโยบายลดลง นักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และยุโรป ยังคงมองไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาค แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายต้องอาศัยความมั่นใจว่า นโยบายจะไม่เปลี่ยนกลางคัน และกติกาจะไม่ถูกเขียนใหม่

การชะลอของ EEC และ FDI ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะภาคอุตสาหกรรม แต่ส่งผลเป็นลูกโซ่ต่อ GDP ประเทศ ทั้งการจ้างงาน รายได้ครัวเรือน ฐานภาษี และขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

หากการลงทุนใหม่ไม่เกิด เศรษฐกิจจะพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศมากเกินไป ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่โลกเผชิญความผันผวนสูง และประเทศคู่แข่งเร่งช่วงชิงการลงทุนอย่างเข้มข้น

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมปี 2568 ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนโดยยอดขายและเช่าที่ดินที่คาดว่าจะทำได้ราว 8,000 ไร่ ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 12,000 ไร่ หรือหายไปกว่า 4,000 ไร่ ซึ่งปัจจัยหลักมาจาก "ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ"

นายสุเมธ กล่าวว่า แม้ประเทศไทยยังคงเป็นเป้าหมายการลงทุนที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ แต่ “จังหวะการตัดสินใจ” กลับชะลอออกไป เนื่องจากนักลงทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ต้องการความชัดเจนด้านเสถียรภาพทางนโยบายและความต่อเนื่องของรัฐบาล โดยเฉพาะการลงทุนที่ใช้เงินสูงและมีระยะเวลาคืนทุนยาว

“นักลงทุนยังสนใจไทย แต่หากการเมืองไม่นิ่ง อยู่ในภาวะเปลี่ยนผ่าน หรือรัฐบาลมีอายุสั้น การตัดสินใจขั้นสุดท้ายจะถูกเลื่อนออกไปทันที อีกทั้ง นักลงทุนยังต้องการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องที่มีความรู้จริงในการกำกับกระทรวงนั้นๆ ด้วยเช่นกัน” 

นอกจากนี้ เศรษฐกิจต้องการ “ความ Stable” เป็นเงื่อนไขพื้นฐาน หากรัฐบาลสามารถประกาศความชัดเจนและอยู่ครบวาระ 4 ปี จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้การตัดสินใจลงทุนเดินหน้าได้รวดเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ เพราะการลงทุนแต่ละครั้งต้องใช้เงินระดับพันล้านจนถึงแสนล้านบาท แม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดสินใจในทันที

Economic ต้องการความ Stable ไม่ใช่เพียงนโยบายที่ดี แต่ต้องมั่นใจว่านโยบายจะเดินต่อได้จริง หากรัฐบาลอยู่เพียงไม่กี่เดือน แม้แผนจะพร้อม นักลงทุนก็ยังไม่กล้าเซ็น” นายสุเมธ กล่าว

ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนทางการเมืองไม่ได้กระทบเฉพาะการตัดสินใจลงทุนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นในระดับนานาชาติ ทั้งในมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเจรจานโยบาย และการสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ

แม้ในระยะสั้นการลงทุนจะชะลอ แต่ กนอ. ยังคงมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพิจารณา (Backlog) ราว 5,000 ไร่ และมีพื้นที่ในมือรวมกว่า 25,000 ไร่ ซึ่งถือเป็น “ศักยภาพที่รอจังหวะ” หากบรรยากาศการเมืองเอื้ออำนวย

สำหรับปี 2569 นายสุเมธ แสดงความเชื่อมั่นว่า หากสถานการณ์การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น กนอ. จะสามารถผลักดันยอดขายและเช่าที่ดินกลับไปแตะระดับ 12,000 ไร่ ได้อีกครั้ง โดยแรงขับเคลื่อนหลักยังคงมาจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ไต้หวัน และญี่ปุ่น ซึ่งยังมีแผนย้ายฐานการผลิตเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม เขาย้ำว่า “ปัจจัยการเมือง” จะยังเป็นตัวแปรชี้ขาด เพราะการลงทุนอุตสาหกรรมไม่ใช่การตัดสินใจระยะสั้น แต่เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ที่ต้องใช้เวลาและความอดทน

“นักลงทุนต้องการสภาพอากาศที่นิ่งและคาดเดาได้ ไม่ใช่พายุการเมืองที่เปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าต้นไม้ที่ปลูกจะเติบโตและให้ผลในระยะยาว” นายสุเมธ กล่าว