ส.อ.ท. ชี้ 'CBAM-พ.ร.บ.ลดโลกร้อน' ดันต้นทุน บททดสอบใหญ่ธุรกิจไทยบนเวทีโลก

กฎหมายคาร์บอนเขย่า "อุตสาหกรรมไทย" มาตรการ "CBAM-พ.ร.บ.ลดโลกร้อน" ดันต้นทุนพุ่ง "ส.อ.ท." ชี้ “บททดสอบใหญ่” ธุรกิจไทยในเวทีโลก
KEY
POINTS
- ส.อ.ท. ชี้ว่ามาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป และ พ.ร.บ.ลดโลกร้อนไทย เป็นบททดสอบสำคัญที่เพิ่มต้นทุนและแรงกดดันต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในตลาดโลก
- มาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรปได้เริ่มบังคับให้ผู้ส่งออกสินค้ากลุ่มเสี่ยง เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม ต้องรายงานการปล่อยคาร์บอนแล้ว แม้จะเลื่อนการชำระเงินค่าคาร์บอนไปเป็นปี 2570 แต่ก็สร้างภาระด้านข้อมูลและต้นทุนในอนาคต
- ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs และโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีเก่า กังวลเรื่องภาระต้นทุนที่สูงขึ้นจากการจัดทำรายงาน, การตรวจประเมินคาร์บอน และการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต
- แม้จะเป็นความท้าทาย แต่ ส.อ.ท. มองว่าเป็นโอกาสให้ธุรกิจที่ปรับตัวก่อนได้เปรียบในการส่งออก, เข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว และสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต
ในขณะที่โลกเร่งเดินหน้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ กฎกติกาการค้าใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมกำลังกลายเป็นแรงกดดันสำคัญต่อผู้ประกอบการไทย ทั้งจากมาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ของสหภาพยุโรป และกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ของประเทศไทย ซึ่งกำลังจะถูกบังคับใช้อย่างเป็นรูปธรรม
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ประเด็นดังกล่าวไม่ใช่เพียงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็น "บททดสอบ" ความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยในตลาดโลกยุคใหม่ ว่าจะสามารถปรับตัวและยืนอยู่ในห่วงโซ่อุปทานโลกได้หรือไม่
ไทยเร่งออก 2 กม.สิ่งแวดล้อม เขย่าโครงสร้างธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ระหว่างการเดินหน้าบังคับใช้กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมสำคัญ 2 ฉบับ ได้แก่
- พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- พระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด
โดย พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคอุตสาหกรรมในหลายมิติ ตั้งแต่ต้นทุนการผลิตไปจนถึงการดำเนินธุรกิจในระยะยาว
สาระสำคัญของกฎหมายครอบคลุมทั้ง
- กลไกราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีต้นทุน
- ระบบซื้อขายสิทธิปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) เปิดให้โรงงานที่ลดคาร์บอนได้เกินเป้าขายสิทธิให้รายอื่น
- ภาษีคาร์บอน
- กองทุนภูมิอากาศ เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดและการปรับตัว
- ระบบ MRV บังคับวัด รายงาน และตรวจสอบการปล่อยคาร์บอนอย่างเป็นระบบ
- มาตรการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ รับมือความเสี่ยงจากน้ำท่วม ภัยแล้ง และสภาพอากาศสุดขั้ว
CBAM จาก “ภาระ” สู่ตัวแปรชี้ชะตาการส่งออก
ขณะเดียวกัน มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรปภายใต้ European Green Deal โดยเฉพาะ EU CBAM ได้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 ในระยะเปลี่ยนผ่าน ด้วยการกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า (Embodied Emission) ทุก 3 เดือน
สินค้าเป้าหมายในระยะแรก ได้แก่ เหล็ก เหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า และไฮโดรเจน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสัดส่วนสูง
แม้สหภาพยุโรปจะเลื่อนการบังคับชำระค่า CBAM Certificate ออกไปจากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2569 แต่ได้กำหนดให้ผู้ส่งออกต้องเริ่ม รายงานข้อมูลการปล่อยคาร์บอนตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 และจะเริ่มชำระเงินจริงในปี 2570 (2027)
สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ เหล็ก เหล็กกล้า และอะลูมิเนียม ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกไปยุโรปสูง หากไม่สามารถจัดทำข้อมูลคาร์บอนและรายงานได้ตามเกณฑ์ อาจสูญเสียโอกาสทางการค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“CBAM คือโอกาส” หากไทยปรับตัวทัน
นายเกรียงไกร กล่าวว่า แม้ CBAM จะเพิ่มต้นทุนและภาระให้กับผู้ประกอบการ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็เป็น โอกาสเชิงยุทธศาสตร์ ให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเร่งยกระดับมาตรฐานสู่สากล ตั้งแต่
- การจัดหาวัตถุดิบและโลจิสติกส์คาร์บอนต่ำ
- การจัดทำข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์
- การลงทุนเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ
- การยกระดับซัพพลายเชน
- การพัฒนานวัตกรรมสะอาด
- การสร้าง ESG Brand และฉลากสิ่งแวดล้อม
ซึ่งอาจกลายเป็นความได้เปรียบระยะยาวในตลาดยุโรปและประเทศพัฒนาแล้ว ผู้ประกอบการที่เริ่มปรับตัวก่อน จะได้เปรียบอย่างชัดเจน ทั้งในตลาดส่งออก การเข้าถึงเงินทุนสีเขียว การลงทุนเทคโนโลยีสะอาด และโอกาสสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต
SMEs แบกรับต้นทุนหนัก ชี้รัฐต้องร่วมออกแบบกติกา
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจจำนวนมากยังมีความกังวล โดยเฉพาะ ต้นทุนการจัดทำรายงานและการตรวจประเมินคาร์บอน รวมถึงการลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยี ซึ่งเป็นภาระสูงสำหรับโรงงานที่ใช้เทคโนโลยีเก่า และ SMEs ที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุนมากกว่ารายใหญ่
ส.อ.ท.เสนอให้ภาคอุตสาหกรรมเร่งเตรียมความพร้อมใน 5 ด้านสำคัญ ได้แก่
- สร้างระบบเก็บข้อมูลคาร์บอนระดับองค์กรและระดับสินค้า
- ลงทุนเทคโนโลยีสะอาดและพลังงานหมุนเวียน
- พัฒนาบุคลากรด้านบัญชีคาร์บอนและการรายงาน GHG
- ใช้ประโยชน์จากเงินทุนสีเขียวและมาตรการสนับสนุน
- สร้างความร่วมมือรัฐ-เอกชน เพื่อออกแบบกฎเกณฑ์ที่ทำได้จริง
นายเกรียงไกร กล่าวย้ำว่า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ “จะทำหรือไม่” แต่คือ “ไทยจะปรับตัวเร็วและเป็นธรรมกับทุกภาคส่วนได้เพียงใด” เพราะนั่นจะเป็นตัวชี้ขาดว่าอุตสาหกรรมไทยจะยังยืนอยู่ในเวทีการค้าโลกได้อย่างยั่งยืนหรือไม่







