ถอดรหัส ‘การทูตเศรษฐกิจเชิงรุก’ ‘สีหศักดิ์’ ฉายภาพ 4 ปี ดึงการลงทุน-ขยายตลาดโลก

สีหศักดิ์" ชี้ไทยต้องปรับบทบาททูตและกงสุลให้เน้นงานเศรษฐกิจเชิงรุก เพื่อหาตลาดใหม่ ดึงดูดการลงทุน และนำเทคโนโลยีเป้าหมายเข้าสู่ประเทศสร้างความมั่นคงตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเปลี่ยนเป็นโอกาสทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค
KEY
POINTS
- "สีหศักดิ์" ชูแนวทาง “Walk the Talk” ซึ่งนโยบายการทูตต้องมาตอบโจทย์หลักประเทศไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจ
- ชี้ไทยต้องปรับบทบาททูตและกงสุลให้เน้นงานเศรษฐกิจเชิงรุก เพื่อหาตลาดใหม่ ดึงดูดการลงทุน และนำเทคโนโลยีเป้าหมายเข้าสู่ประเทศ
- สร้างความมั่นคงตามแนวชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเปลี่ยนเป็นโอกาสทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค
- ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สมดุล ไม่เลือกข้างในเวทีโลก และทำงานแบบบูรณาการ ‘Team Thailand’ เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและรักษาผลประโยชน์ชาติ
ถูกวางตัวให้เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยอีกคนสำหรับ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ภายหลังการเลือกตั้งหากภูมิใจไทยชนะการเลือกตั้งนายสีหศักดิ์จะเป็นรองนายกรัฐมนตรีควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้การทำงานต่อเนื่อง
ในเวทีเปิดนโยบายของพรรคภูมิใจไทยนายสีหศักดิ์ ได้กล่าวถึงทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศในระยะ 4 ปีข้างหน้า โดยเน้นย้ำความสำคัญของการปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และการเชื่อมโยงงานด้านการทูตเข้ากับปากท้องของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
โดยนโยบายการทูตทางเศรษฐกิจต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า “Walk the Talk” ซึ่งนโยบายการทูตต้องมาตอบโจทย์หลักของประเทศไทยในขณะนี้คือการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยในสัปดาห์หน้าจะมีการประกาศนโยบาย “การทูตเศรษฐกิจ” อย่างเป็นทางการ โดยกำหนดให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ในเกือบ 100 ประเทศทั่วโลกมาประชุมร่วมกันและจะเน้นย้ำกว่าต้องเปลี่ยนบทบาทมาเน้นงานด้านเศรษฐกิจเชิงรุก
“ท่านทูตและกงสุลใหญ่ต้องทำงานแบบมีเป้าหมาย หรือที่เรียกว่า Walk the Talk คือต้องเข้าหาและเข้าถึงภาคเอกชน เพื่อหาตลาดใหม่ๆ ส่งเสริมการลงทุน และจัดทำแผนที่เทคโนโลยี (Technology Mapping) ที่ไทยต้องการ เพื่อดึงดูดนวัตกรรมเหล่านั้นเข้าสู่ประเทศ ซึ่งนโยบายนี้จะเป็นฟันเฟืองสำคัญภายใต้การดำเนินงานของพรรคภูมิใจไทย” นายสีหศักดิ์กล่าว
รมว.ต่างประเทศกล่าวด้วยว่า สันติภาพชายแดนคือโอกาสทางเศรษฐกิจในส่วนความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ความมั่นคงตามแนวชายแดนมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่งคั่ง ภาพใหญ่ของการทูตในภูมิภาคในอนาคตเมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ความปกติ กรอบที่อาเซียนมองอยู่ คือการก้าวพ้นความขัดแย้งกับกัมพูชา และการส่งเสริมเสถียรภาพในเมียนมา หากชายแดนมีความมั่นคง ปราศจากอาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด และขบวนการสแกมเมอร์ ก็จะเป็นการเปิดประตูโอกาสให้ไทยเข้าไปค้าขายและลงทุนได้มากขึ้น
เมื่อเพื่อนบ้านก้าวหน้าและมีเสถียรภาพ จะกลายเป็นโอกาสให้ไทยเข้าไปทำการค้าและส่งออกได้มากขึ้นด้วย รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในภูมิภาคนี้ซึ่งจะช่วยสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
สำหรับความท้าทายในโลกหลายขั้วอำนาจ ทั้งสหรัฐฯ จีน รัสเซีย อินเดีย สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ซึ่งมีการแข่งขันกันสูงทั้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ สงครามเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทานจะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในเรื่องของเทคโนโลยี (Geotechnology) และการช่วงชิงความได้เปรียบในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain)
“เราต้องมีนโยบายที่สมดุล ไม่เลือกข้าง และใช้พลังของอาเซียนเป็นภูมิคุ้มกันในการเจรจาต่อรอง”, นอกจากนี้ นายสีหศักดิ์ยังให้ความสำคัญกับการทำงานแบบ “Team Thailand” ที่บูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ฝ่ายความมั่นคง และภาคเอกชน เพื่อให้การเจรจาการค้าเสรีมีพลังทางการเมืองสนับสนุนอย่างเป็นเอกภาพ”
นอกจากนั้นสิ่งสำคัญคือนโยบายต่างประเทศที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ นายสีหศักดิ์เน้นย้ำหลักการ “Foreign Policy Begins at Home” หรือนโยบายต่างประเทศเริ่มต้นที่บ้าน โดยมุ่งเน้นการทูตที่โปร่งใส ประชาชนมีส่วนร่วมและตรวจสอบได้ เพื่อให้การต่างประเทศเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและนำพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน
“เป้าหมายสูงสุดของเราคือการพาประเทศไทยกลับมาอยู่แนวหน้าของประชาคมโลก มีบทบาทนำในเวทีระหว่างประเทศอย่างมีเกียรติภูมิและศักดิ์ศรี เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยในทุกมิติ” นายสีหศักดิ์กล่าวสรุป







