ถอดรหัส ‘เอกนิติ’ ดัน ‘ลงทุน Plus’ แตะ 30% GDP ยกเครื่อง ‘เศรษฐกิจไทย’ พ้นวิกฤต 'โตต่ำ'

ถอดรหัส ‘เอกนิติ’ ดัน ‘ลงทุน Plus’ แตะ 30% GDP  ยกเครื่อง ‘เศรษฐกิจไทย’ พ้นวิกฤต 'โตต่ำ'

ถอดรหัส “เอกนิติ” กางแผนยุทธศาสตร์ “ลงทุนพลัส” เร่งเครื่องดึงเม็ดเงินนอกงบประมาณผ่านกลไก PPP-กองทุน TFF และ Matching Fund กับชุมชน ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการลงทุนจาก 23% เป็น 30%

KEY

POINTS

  • ถอดรหัส “เอกนิติ” กางแผนยุทธศาสตร์ “ลงทุนพลัส”
  • เร่งเครื่องดึงเม็ดเงินนอกงบประมาณผ่านกลไก PPP-กองทุน TFF และ Matching Fund กับชุมชน
  • ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการลงทุนจาก 23% เป็น 30% ภายใน 4 ปี
  • เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ทั้ง EV-AI-พลังงานสะอาด ลั่นเป็นการ "ยกเครื่องรถยนต์เศรษฐกิจ" ให้กลับมาวิ่งเต็มศักยภาพ

หนึ่งในนโยบาย “10 พลัส” ที่นายเอกนิติ นิติทัศน์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ประกาศบนเวทีเปิดนโยบายพรรคภูมิใจไทยคือนโยบายขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไปภายใช้ชื่อนโยบายว่า “ลงทุนพลัส” ซึ่งตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เป็น 30% จากปัจจุบันที่อยู่ที่ 23%      

นายเอกนิกล่าวว่าปัญหาการลงทุนต่ำ (Underinvestment) ถือเป็นปัญหาที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยสัดส่วนการลงทุนลดลงเหลือเพียง 23% ของ GDP ส่งผลให้การเติบโตของ GDP ลดต่ำลงอย่างน่าตกใจ โดยบางช่วงเติบโตไม่ถึง 1%โดยสภาวะการลงทุนต่ำส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเปรียบเสมือน “รถยนต์เก่า” ที่เครื่องยนต์เริ่มเสื่อมสมรรถนะและวิ่งได้ช้าลงเรื่อยๆ นโยบาย "ลงทุน Plus" จึงเป็นทางออกที่สำคัญในการยกระดับประเทศอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้สิ่งที่กำหนดไว้ในเป้าหมายของนโยบายลงทุนพลัสคือ การปรับเพิ่มเป้าหมายในการลงทุนของประเทศเป็น 30% โดยที่ผ่านมาในอดีตก่อนปี 2540 ประเทศไทยเคยมีการลงทุนสูงถึง 40% ของ GDP ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดดที่ 6-7% ดังนั้นเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนให้กลับขึ้นไปอยู่ที่ 30% ของ GDP ภายในระยะเวลา 4 ปี เพื่อรีเซ็ตศักยภาพการเติบโตของประเทศใหม่จึงเป็นเป้าหมายที่สำคัญ

ถอดรหัส ‘เอกนิติ’ ดัน ‘ลงทุน Plus’ แตะ 30% GDP  ยกเครื่อง ‘เศรษฐกิจไทย’ พ้นวิกฤต 'โตต่ำ'

สำหรับกลไกการระดมการลงทุนเพิ่ม โดยไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ"ไม่กระทบต่อวินัยการเงินการคลัง ได้กำหนดนโยบายว่าจะเน้นการใช้เม็ดเงินนอกงบประมาณผ่าน 3 เครื่องมือหลัก ได้แก่

1.การลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) โดยส่งเสริมการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่

2.การลงทุนในระดับท้องถิ่นจะใช้กลไก Matching Fund เป็นการร่วมลงทุนคนละครึ่งระดับท้องถิ่นกับรัฐบาล โดยรัฐบาลส่วนกลางจะนำเงินไปร่วมลงทุนกับเงินสะสมของท้องถิ่นในสัดส่วนคนละครึ่ง เพื่อพัฒนาโครงการในพื้นที่ เช่น ระบบจัดการน้ำท่วม ซึ่งจะช่วยให้การใช้เงินมีประสิทธิภาพสูงสุด

3.การใช้กลไกลงทุนผ่าน Thailand Future Fund (TFFIF) โดยจะนำรายได้จากสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิมของรัฐ เช่น สนามบิน มาแปลงเป็นกองทุนระดมทุนจากนักลงทุน เพื่อนำเงินไปก่อสร้างโครงการใหม่ เช่น สนามบินนครศรีธรรมราช โดยวิธีนี้จะไม่สร้างหนี้สาธารณะเพิ่มและช่วยกระตุ้นตลาดหลักทรัพย์เพราะกองทุนโครงสร้างพื้นฐานนี้จะระดมทุนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ด้วย

นายเอกนิติระบุว่า ในส่วนของการลงทุนของภาคเอกชนโดยเฉพาะในส่วนของอุตสาหกรรมเป้าหมายยังคงมีความสำคัญ โดยนโยบายการลงทุนพลัสจะให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการลงทุน อุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ถือเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต ที่จะช่วยให้ประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีเก่าไปสู่โลกยุคใหม่ ได้แก่  

1.ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดยเป็นการอัปเกรดฐานการผลิตจากรถยนต์น้ำมันสู่รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า

2.อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยมุ่งเน้นการลงทุนในระบบ Server, AI และ Smart Electronics ที่ต้องดึงการลงทุนเพื่อนำมาแทนที่ฮาร์ดดิสก์แบบดั้งเดิม

3.อุตสาหกรรมการแพทย์และ Wellness โดยต่อยอดจุดแข็งด้านสาธารณสุขสู่ศูนย์ดูแลสุขภาพและความงามครบวงจร

และ 4.เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) โดยสนับสนุนการลงทุนในพลังงานสะอาด เช่น Solar Rooftop และ Floating Solar เพื่อดึงดูดนักลงทุนระดับโลกที่เน้นมาตรฐานความยั่งยืน

สำหรับการลงทุนที่สำคัญอีกอย่าง นายเอกนิติ กล่าวว่าประเทศไทยต้องเน้นการลงทุนในทุนมนุษย์ (Human Capital) เน้นการ Up-skill และ Re-skill แรงงานและผู้สูงอายุให้มีความเก๋าและทักษะที่ทันสมัย พร้อมรับมือกับอุตสาหกรรมใหม่

นอกจากนั้นต้องให้ความสำคัญกับการเร่งแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอื่นๆ ได้แก่ การเดินหน้ามาตรการ “Thailand Plus Fast Track” ลดขั้นตอนกฎระเบียบที่ยุ่งยากซับซ้อน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนที่รออยู่อีกกว่า 4.7 แสนล้านบาทให้สามารถลงทุนได้จริง ซึ่งการทำในเรื่องนี้เปรียบเสมือนการเปลี่ยนจาก รถติดไฟแดงบ่อย" ให้เป็นทางด่วน

"การดันสัดส่วนการลงทุนเป็น 30% คือการเติมน้ำมันและยกเครื่องใหม่ให้รถยนต์เศรษฐกิจไทย เราไม่ได้แค่ต้องการเงิน แต่เราต้องการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัล เพื่อให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักการเติบโตต่ำและกลับมาแข็งแกร่งในเวทีโลกอีกครั้ง" นายเอกนิติ กล่าว