‘นักวิชาการ’ แนะวางหลักคิดก่อนขึ้น VAT ปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ยึดคุ้มค่า-เป็นธรรม

ดร.อธิภัทร ชี้รัฐปรับขึ้น VAT ต้องทำเป็นขั้นตอนชัดเจน ให้ความสำคัญ 3 เรื่องทั้งการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ทบทวนสิทธิประโยชน์ภาษี ยกเลิกมาตรการที่ไม่ส่งเสริมผลิตภาพ หรือไม่มีประสิทธิผลจริง ขยายฐานภาษีสู่เศรษฐกิจนอกระบบ แนะรัฐปฏิรูปตัวเอง ลดขนาด-รายจ่ายที่ไม่จำเป็น
รศ. ดร.อธิภัทร มุทิตาเจริญ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์ขับเคลื่อนความรับผิดชอบทางการคลัง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Athiphat Muthitacharoen ว่าท่ามกลางสัญญาณจากแผนการคลังระยะปานกลาง (MTFF) ที่ระบุว่าประเทศไทยอาจมีความจำเป็นต้อง “ปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)” จากปัจจุบัน 7% เป็น 8.5% ในปี 2571 และขยับสู่ 10% ในปี 2573 นั้น ประเด็นที่สังคมให้ความสนใจไม่ได้มีเพียงแค่ “ต้องจ่ายเพิ่มเท่าไหร่” แต่หัวใจสำคัญคือ “ขึ้นแล้วคุ้มค่าหรือไม่” และ “รัฐจะออกแบบอย่างไรให้เป็นธรรม”
ภาษี VAT คือเส้นเลือดใหญ่ของการคลังไทย เนื่องจากคิดเป็นรายได้กว่า 1 ใน 3 ของรายได้รัฐทั้งหมด และเป็นภาษีที่กระทบคนไทยทุกคนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งแตกต่างจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีผู้เสียภาษีจริงเพียงประมาณ 4 ล้านคนเท่านั้น
หากรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าตามแผนการนี้ ขอเสนอหลักคิดสำคัญ 3 ประการที่ต้องดำเนินการควบคู่กัน เพื่อให้การปรับขึ้นภาษีเป็นเครื่องมือในการสร้างความยั่งยืน ไม่ใช่ภาระที่กดทับประชาชนเพียงฝ่ายเดียว
1. การขึ้น VAT ต้องมาพร้อมการ “ปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ” เราไม่สามารถมองการขึ้น VAT แยกส่วนได้ หากรัฐขึ้น VAT โดยไม่ปรับปรุงภาษีตัวอื่น กลุ่มที่จะได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือ “มนุษย์เงินเดือน” ซึ่งในปัจจุบันเป็นแบกรับภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากว่า 80% ของทั้งประเทศ
การขยับ VAT ควรเป็นจังหวะในการสังคายนาโครงสร้างการคลังครั้งใหญ่ ได้แก่ ทบทวนสิทธิประโยชน์ภาษี ยกเลิกมาตรการที่ไม่ส่งเสริมผลิตภาพ (Productivity) หรือไม่มีประสิทธิผลจริง ขยายฐานภาษีสู่เศรษฐกิจนอกระบบ
ปีนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีจากการที่กรมสรรพากรเริ่มได้รับข้อมูลผู้ขายรายย่อยจากแพลตฟอร์มอย่าง Shopee และ Lazada ซึ่งรัฐควรใช้ข้อมูลนี้ขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมและเป็นธรรมมากขึ้น
ลดต้นทุนการปฏิบัติตามกฎหมาย (Compliance Cost): ปรับปรุงกฎเกณฑ์ VAT ให้ทันสมัยและง่ายต่อธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงทบทวนเกณฑ์รายได้ 1.8 ล้านบาทต่อปีสำหรับการจดทะเบียน VAT ซึ่งไม่ได้ปรับเปลี่ยนมาตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งอยากเห็นพรรคการเมืองแสดงความจริงใจ โดยใช้จังหวะการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อปรับปรุงประมวลรัษฎากรให้ทันสมัย แทนที่จะเน้นเพียงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อการหาเสียง
2. ต้องประกาศ “Tax Roadmap” ล่วงหน้าเพื่อความชัดเจนโดยบทเรียนจากประเทศสิงคโปร์และญี่ปุ่นชี้ให้เห็นว่า การสื่อสารนโยบายภาษีล่วงหน้าคือหัวใจของความสำเร็จ สิงคโปร์ประกาศแผนการขึ้น GST (เทียบเท่า VAT) ล่วงหน้าหลายปี พร้อมมี “แพ็กเกจเยียวยา” ที่ยาวถึง 6 ปีเพื่อช่วยเหลือครัวเรือนตามระดับรายได้
ไทยควรนำโมเดลนี้มาปรับใช้ โดยสร้างความแน่นอน: ไม่จำเป็นต้องขึ้นรวดเดียว 1.5% แต่สามารถแบ่งเป็นขั้นบันได เช่น ปีละ 0.5% เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถวางแผนต้นทุนและราคาสินค้าได้ ซึ่งสามารถลดแรงกระแทก ประชาชนสามารถเตรียมตัวและวางแผนการใช้จ่ายได้ล่วงหน้า และรักษาสัญญา รัฐต้องยึดมั่นในกรอบเวลาที่ประกาศไว้ (Commitment) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน
3. รัฐต้องปฏิรูปตัวเอง ไม่ใช่หวังพึ่งเพียงการเก็บเงินเพิ่ม โดยต้องยอมรับจากสังคมจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนเห็นว่า “เงินภาษีถูกใช้อย่างรู้คุณค่า” กรณีศึกษาจากอิตาลีที่สามารถลดการขาดดุลจาก 5% เหลือต่ำกว่า 3% แม้จะมีหนี้สูงกว่า 130% ของ GDP เกิดจากการดำเนินการ 2 ส่วนคือ:
1)ปฏิรูประบบราชการ โดยควบคุมรายจ่ายบุคลากรภาครัฐอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
2)จัดตั้งสถาบันการคลังอิสระ (Parliamentary Budget Office) เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบตัวเลขของรัฐบาลอย่างเป็นกลาง ซึ่งเป็น “จุดอ่อน” ที่ประเทศไทยยังขาดอยู่ในปัจจุบัน โดยประเทศไทยจำเป็นต้องมีสถาบันที่เป็นกลางคอยประเมินว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคุ้มค่ากับต้นทุนหรือไม่ และแผนการคลังของรัฐบาลมีความน่าเชื่อถือเพียงใด
สิ่งนี้จะเป็น “หลักประกัน” ให้ประชาชนมั่นใจว่าเงินที่จ่ายเพิ่มไปจะกลับมาเป็นสวัสดิการและโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ
ทั้งนี้การปรับขึ้น VAT จะประสบความสำเร็จได้ต่อเมื่อสังคมมีความเชื่อมั่นใน 3 ด้าน คือ
1.ความเป็นธรรม ภาระไม่กระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน
2.ความชัดเจน มีแผนงานที่แน่นอน ไม่สร้างความประหลาดใจเชิงนโยบาย
3.ความโปร่งใส รัฐบาลแสดงให้เห็นว่ามีการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส
หากรัฐบาลสามารถตอบโจทย์ทั้ง 3 ข้อนี้ได้ การขึ้น VAT จะไม่ใช่แค่เรื่องการ “เก็บเงินเพิ่ม” แต่จะเป็นการสร้าง “ระบบภาษีที่ประชาชนเชื่อมั่นและยินดีที่จะมีส่วนร่วม” เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ประเทศในระยะยาว







