'อมตะ' ถอดรหัส ‘เวียดนาม’ ปฏิรูปราชการ ดันเป้าหมายใหญ่ GDP โต 2 หลัก

“อมตะ วีเอ็น” ชี้เศรษฐกิจเวียดนามโตแรงตั้งเป้าหมายเป็นประเทศรายได้สูงและดัน GDP เติบโตสองหลัก พร้อมเดินหน้าขยายอาณาจักรนิคมอุตสาหกรรมในภาคเหนือและภาคใต้เพื่อรองรับซัพพลายเชนเทคโนโลยีขั้นสูงที่กำลังย้ายเข้ามา
KEY
POINTS
- รัฐบาลเวียดนามปฏิรูปโครงสร้างและแก้ปัญหาคอร์รัปชันอย่างจริงจัง โดยลงโทษขั้นประหารชีวิตทั้งข้าราชการและเอกชนที่ทุจริต เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติ
- ปรับโครงสร้างราชการให้รวดเร็วขึ้น เช่น การรวมจังหวัดและกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจ (เช่น MPI รวมกับกระทรวงการคลัง) เพื่อลดขั้นตอนและเร่งการอนุมัติโครงการลงทุน
- ยกเลิกระบบการปกครองระดับ “อำเภอ” และมอบอำนาจให้จังหวัดสามารถอนุมัติโครงการลงทุนที่ไม่ใช่ขนาดใหญ่ได้เอง เพื่อลดข้าราชการระดับกลางและเพิ่มความคล่องตัว
- ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะซัพพลายเชนจากจีน โดยใช้กลยุทธ์กำหนดให้โครงการลงทุนต้องมีปริมาณวัตถุดิบในประเทศเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
“เวียดนาม” ประกาศแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะขนาดใหญ่ มูลค่ามากถึง 10% ของ GDP หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อเป้าหมายการเติบโตของ GDP 8% ในปี 2568 และเพื่อเป้าหมายระยะยาวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายใน 2045
รัฐบาลฮานอย จะเปิดตัวโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และที่อยู่อาศัย 250 โครงการทั่วประเทศ มูลค่ารวม 1.28 ล้านล้านดอง หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตและยกระดับสถานะเป็นประเทศรายได้สูง รวมทั้งดึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ถึงเป้าหมายการเติบโตสองหลัก (Double Digits)
ตัวอย่างการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันคือ การสร้างถนนวงแหวนรอบเมืองโฮจิมินห์ถึง 3 วง เพื่อเชื่อมพื้นที่ด้านซ้าย (ติดกัมพูชา) เข้ากับท่าเรือน้ำลึกทางด้านขวา โดยไม่ต้องผ่านตัวเมือง ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการจราจรและลดต้นทุนโลจิสติกส์ในอนาคต
นางสมหะทัย พานิชชีวะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ วีเอ็น จำกัด (มหาชน) หรือ AMATAV เปิดเผยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงภาพรวมและศักยภาพเวียดนามว่าที่เศรษฐกิจเติบโตก้าวกระโดด โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา GDP เติบโตถึง 7.58% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับไทยที่คาดว่าจะเติบโตไม่ถึง 2% และตั้งเป้าหมายบรรลุการเติบโตของ GDP เป็นเลขสองหลัก
ทั้งนี้ การเติบโตทางเศรษฐกิจเวียดนามได้สนับสนุนการเติบโตของบริษัทในเวียดนาม โดยมีเป้าหมายบรรลุการเติบโตของ GDP เป็นเลขสองหลัก และคาดว่าปี 2025 เติบโตถึง 10% สูงกว่าที่คาดการณ์การเติบโตของไทยที่ไม่เกิน 2% ในปีเดียวกัน
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนเป้าหมายการเติบโตนี้ คือ
1.แก้ปัญหาคอร์รัปชั่น โดยปฏิรูปโครงสร้างรัฐบาลอย่างรวดเร็วและการมอบอำนาจให้จังหวัดอนุมัติโครงการลงทุนได้ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้ โดยรัฐบาลปฏิรูประบบราชการ การรวมกระทรวง และการกำจัดคอร์รัปชัน การเปลี่ยนแปลงผู้นำพรรคและเลขานุการ ทำให้การปฏิรูปเริ่มต้นขึ้นเร็ว
รวมถึงการกวาดล้างการทุจริตในวงกว้าง ครอบคลุมทั้งข้าราชการและภาคเอกชนที่ให้สินบน โดยบางกรณีที่มีการทุจริตขนาดใหญ่เป็นหลักหมื่นล้านดอลลาร์ จะถูกลงโทษขั้นประหารชีวิตทั้งตัวราชการและเอกชน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเอาจริงเอาจังของรัฐบาล การดำเนินการดังกล่าวทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นในความโปร่งใส (cleaning) ของระบบ
ปรับโครงสร้างราชการเพื่อเร่งการอนุมัติ
2.การปรับโครงสร้างราชการให้มีความรวดเร็ว เช่น การรวมจังหวัดจนทำให้จำนวนจังหวัดลดลงเกือบ 50% และรวมกระทรวงสำคัญทางเศรษฐกิจหลายกระทรวง โดยกระทรวงที่ทำหน้าที่ด้านการลงทุน (MPI) ซึ่งเทียบได้กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ของไทย ถูกนำไปรวมกับกระทรวงการคลัง ทำให้การอนุมัติต้องผ่านกระทรวงการคลังเป็นหลักและลดขั้นตอนอนุมัติ
นอกจากนี้ ได้ยกเลิก “อำเภอ” ทำให้ระบบการปกครองเหลือเพียงระดับตำบลและจังหวัด ซึ่งเป็นการตัดข้าราชการระดับกลางออกไป
ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตตามเป้าหมาย รัฐบาลเวียดนามกลับมามอบอำนาจให้จังหวัดตัดสินใจและอนุมัติโครงการลงทุนได้เองสำหรับโครงการที่ไม่ใช่ขนาดใหญ่มาก ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ซึ่งในอดีตโครงการขนาดใหญ่ เช่น นิคมอุตสาหกรรมของ AMATAV เคยต้องผ่านการอนุมัติหลักการโดยนายกรัฐมนตรี
สำหรับการรวมจังหวัดและกระทรวงอย่างรวดเร็วนี้ สร้างความท้าทายระยะสั้น เนื่องจากเกิดภาวะที่การบริหารงาน ”ไม่เชื่อมต่อกันอย่างเหมาะสม“ (disconnect) และต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีในการปรับตัว แต่ผลดีระยะยาวคือการประหยัดค่าใช้จ่ายและทำให้รัฐบาลมีตัวเลือกบุคลากรมากขึ้น
จีนขับเคลื่อนหลัก หนุนซัพพลายเชน
3.การดึงดูดการลงทุน FDI โดยเฉพาะการเข้ามาของซัพพลายเชนเทคโนโลยีขั้นสูงจากจีน โดยจีนจะเป็นตัวขับเคลื่อน (driver) ที่สำคัญมากที่สุดสำหรับเศรษฐกิจเวียดนามระยะ 1-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากจีนต้องการขยายการเติบโตออกนอกประเทศในลักษณะที่มั่นคง และเวียดนามได้เปรียบด้านความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์และลักษณะทางวัฒนธรรมที่คล้ายกัน โดยคนเวียดนามถูกมองเป็น “พ่อค้าแม่ค้า” และมีพื้นฐานความคิดที่คล้ายจีน
เวียดนามใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งทางการค้าและการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ (Trump impact) โดยกำหนดให้โครงการลงทุนที่เข้ามาต้องมีปริมาณวัตถุดิบในประเทศ เพื่อให้ได้อัตราภาษีนำเข้าต่ำลง (20%) แทนที่จะเป็นอัตราสูงถึง 40% สำหรับการขนถ่ายสินค้า (transshipment) กลยุทธ์นี้ มีเป้าหมายดึงซัพพลายเชนให้ย้ายมาตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม ไม่ใช่แค่การนำเข้ามาเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์
เวียดนามแซงหน้าเศรษฐกิจไทยใน 2 ปี
ด้าน “การแข่งขันกับไทย” เวียดนามเหนือกว่าในด้านบุคลากร เนื่องจากระบบการศึกษาเน้นด้าน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) ทำให้คนเวียดนามเชี่ยวชาญและต่อยอดไปสู่นวัตกรรมและดิจิทัลได้ง่ายกว่า
นอกจากนี้ เวียดนามมีอัตราหนี้สาธารณะต่อ GDP ต่ำ ราว 37% ทำให้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะขนาดใหญ่ได้ทันทีเพื่อรองรับการเติบโต ดังนั้น หากไทยยังไม่ปรับตัว เวียดนามอาจแซงหน้าเศรษฐกิจไทยได้ภายใน 2 ปี
“รัฐบาลเวียดนามเข้าใจว่าอุตสาหกรรมจะทำให้เศรษฐกิจเติบโต จึงกล้าตัดสินใจปฏิรูปราชการเพื่อให้การลงทุนเร็วขึ้น เศรษฐกิจเดินหน้า จึงกล้าตั้งเป้าหมายเติบโต 2 หลัก และไม่เคยทำอะไรที่กระทบการลงทุนจากต่างประเทศ เพราะรู้ดีว่าการเติบโตต้องพึ่ง FDI”
“อมตะ”เดินหน้าขยายนิคมฯเวียดนาม
นอกจากนี้ AMATAV วางแผนขยายธุรกิจโดยเน้นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงคือภาคเหนือและภาคใต้ เพราะเวียดนามเป็นประเทศที่ “ผอม” (เอวเล็ก) จึงเน้นการเติบโตที่หัว (เหนือ) และก้น (ใต้) โดยตั้งเป้าหมายยอดขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมใน 3 ปีข้างหน้า 500-600 ไร่ต่อปี
สำหรับยอดขายนี้จะมาจากนิคมหลัก ๆ คือ โครงการลองทันและฮาลอง หากโครงการใหม่ที่ฟู่ถอในภาคเหนือแล้วเสร็จเร็ว ก็อาจจะเข้ามาช่วยสนับสนุนยอดขายส่วนนี้ด้วย
ทั้งนี้ ภาคเหนือมีโครงการสำคัญคือ ฮาลอง (Ha Long พื้นที่ 4,000 ไร่ ปัจจุบันขายไปแล้ว 60% และกำลังขอขยายพื้นที่อีกเกือบ 3,000 ไร่) โดยลูกค้าหลัก คือ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และชิ้นส่วนยานยนต์
ส่วนโครงการใหม่คือ ฟู่ถอ (Phu Tho) พื้นที่ 3,000 ไร่ อยู่ใกล้กรุงฮานอยมากกว่าฮาลอง และจะเน้นอุตสาหกรรมไฮเทค เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นกันอยู่ในขั้นตอนการขอใบอนุญาต คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตภายในปีหน้า
ขณะที่ภาคใต้ เป็นโครงการที่มีอยู่แล้ว คือ เบียนหัว (Bien Hoa) พื้นที่ 3,500 ไร่ โดยเหลือพื้นที่ขายน้อยมาก และลองทัน (Long Thanh) พื้นที่ 2,400 ไร่ ที่เน้นอุตสาหกรรมไฮเทคแบบเฉพาะกลุ่ม (Niche High-tech) เช่น อุปกรณ์ที่ใช้รังสีในการฆ่าเชื้อสำหรับอาหารและอุปกรณ์การแพทย์
นอกจากนี้ อยู่ระหว่างเจรจาโครงการใหม่ในจังหวัดใกล้เคียงเพื่อรองรับอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และไฮเทค เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดมากขึ้น โดย AMATAV ร่วมทุนกับกลุ่ม Banpu และ Solar BK ติดตั้งระบบโซลาร์บนหลังคาโรงงานในนิคมฮาลองและลองทัน โดยตั้งเป้าหมายกำลังผลิตรวมที่ 227 เมกะวัตต์ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งเหนือ-ใต้ภายใน 5-6 ปี ซึ่งนับเป็นการลงทุนของ AMATAV เพื่อสร้างรายได้และแก้ไขปัญหาความไม่เสถียรของราคาไฟฟ้าในเวียดนาม
“แม้ว่าเวียดนามจะมีนิคมอุตสาหกรรมมากกว่า 400 แห่ง และการแข่งขันสูงมาก แต่เวียดนามยังเป็นโอกาสสำคัญในการลงทุนที่บริษัทไม่สามารถมองข้ามได้"







