บอร์ดโคนมฯจัดโควตานำเข้าสินค้านม ปี69 ตามกรอบเอฟทีเอ‘ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์’

บอร์ดโคนมฯจัดโควตานำเข้าสินค้านม ปี69  ตามกรอบเอฟทีเอ‘ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์’

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอระบุข้อมูลไว้ใน รายงาน โคนมและผลิตภัณฑ์นมไทย: ศักยภาพ และความท้าทาย ว่าปี 2568 ไทยมีประชากรโคนม 560,551 ตัว ลดลง จาก 810,518 ตัวในปี 2564 โดยมีแม่โครีดนม 242,351 ตัว และมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม 15,638 ราย ส่วนใหญ่เป็นราย ย่อยกว่า 96%

สาเหตุที่ประชากรโคนมและจำนวน เกษตรกรผู้เลี้ยงลดลง เนื่องจาก ต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้นจาก ผลกระทบโควิด-19 และสงครามรัสเซีย–ยูเครน ทำให้ราคา กากถั่วเหลืองและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปรับสูงขึ้น ในขณะที่ ราคาน้ำนมดิบที่เกษตรกรได้รับยังให้ผลตอบแทนต่ำ โดยเฉพาะกับเกษตรกรรายย่อยรายเล็กทำให้ไม่จูงใจ เกษตรกรจำนวนมากจึงเลิกอาชีพเลี้ยงโคนม เหลือเพียง เฉพาะเกษตรกรที่มีทุนและศักยภาพเพียงพอ อีกทั้งเกษตรกร ส่วนใหญ่สูงอายุ ขาดผู้สืบทอด และคนรุ่นใหม่ไม่นิยมเลี้ยงโค นมเพราะเป็นงานหนักและต้องทำทุกวัน อย่างไรก็ดี เกษตรกรที่เลิกเลี้ยงได้ทยอยขายโคนมระหว่างกันทำให้ ขนาดฝูงเฉลี่ยต่อฟาร์มใหญ่ขึ้น

นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ครั้งที่ 7/2568 (กรณีพิเศษ) ว่า การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญเพื่อร่วมกันหาแนวทางยกระดับการบริหารจัดการอุตสาหกรรมนมของประเทศทั้งระบบ มุ่งสร้างความเข้มแข็งและเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมนมไทยอย่างยั่งยืน 

พร้อมผลักดันให้เกิดกลไกการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้ง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการนมในภาพรวม การเชื่อมโยงตลาด โดยเฉพาะบทบาทของภาคเอกชนในการสะท้อนความต้องการของตลาด เพื่อให้ภาครัฐและสหกรณ์สามารถกำหนดทิศทางการผลิตได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ และเกิดความสมดุลระหว่างเกษตรกร 

ผู้ประกอบการ และระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยย้ำว่าทุกแนวทางต้องคำนึงถึงประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบหรืออุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ และเกษตรกรต้องได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม

นายวิณะโรจน์ กล่าวอีกว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการน้ำนมโคที่ใช้จัดทำบันทึกข้อตกลง (MOU) การซื้อขายน้ำนมโค ปี 2568/2569 ของศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบที่ยังไม่มีแหล่งจำหน่าย เพื่อให้การระบายผลผลิตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยรักษาเสถียรภาพราคาน้ำนมดิบในระบบ

       อีกทั้ง รับรองมติกำหนดแนวทางการจัดสรรโควตาและปริมาณการนำเข้านมผงขาดมันเนย ประจำปี 2569 ภายใต้กรอบความตกลง WTO (ข้อตกลงองค์การการค้าโลก) และกรอบความตกลงการค้าเสรี TAFTA (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) และ TNZCEP (Thailand – New Zealand Closer Economic Partnership : TNZCEP) ตามมติของคณะอนุกรรมการพิจารณาจัดสรรโควตาและอัตราภาษีนำเข้านมผงขาดมันเนย นมดิบ และนมพร้อมดื่ม ครั้งที่ 3/2568 เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2568 เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์อุตสาหกรรมนมของประเทศ 

โดยกรอบความตกลง TAFTA และ TNZCEP กำหนดปริมาณจัดสรรนมผงขาดมันเนย รวม 47,576.5 ตัน โดยแบ่งการจัดสรรเป็น 2 รอบ ได้แก่ ครั้งที่ 1 ช่วงเดือนม.ค.-พ.ค.จำนวน 23,788.25 ตัน สำหรับครั้งที่ 2 ช่วงเดือนมิ.ย.-ธ.ค. ที่ประชุมมีมติให้พิจารณาและติดตามข้อมูลอีกครั้งภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ในครั้งถัดไป เพื่อให้กรมการค้าต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการตลาดน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นม ภายใต้คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม โดยมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน พร้อมด้วยองค์ประกอบของ

คณะอนุกรรมการให้ครอบคลุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคเกษตรกร มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย แผนงาน และแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการตลาดน้ำนมโคและผลิตภัณฑ์นมแปรรูปที่หลากหลายเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม

รายงานข่าวแจ้งว่า ระเบียบกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการออกหนังสือรับรองแสดง การได้รับสิทธิชำระภาษีในโควตาตามพันธกรณี ตามความตกลงการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลกดับ ดับเบิ้ลยูทีโอ สำหรับสินค้านมผงขาดมันเนยปี 2569-2571 ปริมาณนมผงขาดมันเนยสําหรับการออกหนังสือรับรองปี 2569-71 ตามระเบียบนี้มีปริมาณรวมไม่เกิน 55,000 ตันต่อปี