ปี 69อินเดียผลิตข้าวสูงสุดปีที่10-สต็อกโลกบวม ราคาไทยพุ่งรับดีลจีน-สิงคโปร์สวนกัมพูชาส่งออกดิ่ง

คนทั่วโลกบริโภคข้าวมากกว่าปีละ 500 ล้านตัน เฉพาะประเทศไทย มีพื้นที่ปลูกข้าวถึง 72 ล้านไร่ มีชาวนา 18 ล้านคน หรือ 25% ของประชากรทั้งประเทศ ในส่วนการค้าข้าวโลก เฉลี่ยปีละ 60 ล้านตัน
ซึ่งสัดส่วนนี้ เป็นการส่งออกของไทย เฉลี่ยปีละ 7-8 ล้านตัน คิดเป็นลำดับที่ 3 ของโลก รองจากอินเดีย เวียดนาม ตามลำดับ
เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงเกษตรของสหรัฐ หรือ USDA เผยแพร่ ข้อมูล Rice Outlook: December 2025, RCS-25K, December 11, 2025. USDA, Economic Research Service ระบุว่า ผลผลิตข้าวโลกในปี 2025/26 คาดการณ์อยู่ที่ 540.4 ล้านตัน (ในรูปข้าวสาร) ลดลง 0.5 ล้านตันจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ช่วงพ.ย. ที่ผ่านมา
ปัจจัยที่ผลผลิตโลกลดลงส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของผลผลิตในมาดากัสการ์และฟิลิปปินส์ แต่ในทางตรงกันข้ามพบว่าคาดการณ์ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในอินเดีย ปี 2025/26 เพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นปีที่สิบ เนื่องจากพื้นที่เก็บเกี่ยวที่มากขึ้นและเป็นสถิติสูงสุด จึงส่งให้อินเดียเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2024/25
อย่างไรก็ตาม แม้ผลผลิตที่ลดลงในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบราซิล กัมพูชา อินโดนีเซีย มาดากัสการ์ ไนจีเรีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ ไทย สหรัฐ และเวียดนาม แต่ก็ได้รับการชดเชยการเพิ่มขึ้นที่คาดการณ์ไว้สำหรับบังกลาเทศ อียิปต์ สหภาพยุโรป และผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุดสองอันดับแรกของโลก ได้แก่ อินเดียและจีน ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของผลผลิตข้าวทั่วโลก
สต็อกข้าวทั่วโลกยังเพิ่มอีกต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปริมาณข้าวในตลาดโลกปี 2025/26 คาดว่าจะอยู่ที่ 730.7 ล้านตัน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านตัน จากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และเป็นปีที่สามติดต่อกันที่ปริมาณสต็อกเพิ่มขึ้น การปรับเพิ่มขึ้นของปริมาณข้าวในตลาดโลกส่วนใหญ่เกิดจากปริมาณสต็อกเริ่มต้นที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในอินเดีย ซึ่งชดเชยการลดลงของเกาหลีใต้และเวียดนามได้มากกว่า
ด้านปริมาณการบริโภคข้าวในตลาดโลกปี 2025/26 (รวมถึงส่วนที่เหลือที่คำนึงถึงการสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว) ลดลง 0.4 ล้านตัน เหลือ 541.9 ล้านตัน แต่ยังคงเป็นสถิติสูงสุด การปรับลดลงส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของมาดากัสการ์ ซึ่งชดเชยการเพิ่มขึ้นของกัมพูชาได้มากกว่า
“การคาดการณ์การบริโภคข้าวในตลาดโลกที่สูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2025/26 ส่วนใหญ่เกิดจากการคาดการณ์การบริโภคที่สูงเป็นประวัติการณ์ในหลายประเทศที่บริโภคข้าวรายใหญ่ ได้แก่ บังกลาเทศ อินเดีย ไนจีเรีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม”
ขณะที่ ปริมาณสต็อกคงเหลือทั่วโลกในปี 2025/26 คาดว่าจะอยู่ที่ 188.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 2.1 ล้านตันจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ แต่ยังคงต่ำกว่าปีที่แล้ว 1.5 ล้านตัน การปรับเพิ่มขึ้นนี้ส่วนใหญ่มาจากปริมาณสต็อกที่เพิ่มขึ้น 1.5 ล้านตันของอินเดีย ซึ่งอิงตามปริมาณสต็อก ณ วันที่ 1 ต.ค. ที่รายงานโดยองค์การอาหารแห่งอินเดีย ซึ่งมากกว่าการปรับลดลงของเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม จีนและอินเดียรวมกันคิดเป็นประมาณ 80% ของปริมาณสต็อกคงเหลือทั่วโลก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงการสำรองสินค้าของรัฐบาล
คาดการค้าข้าวโลกสูงสุดเป็นประวัติการณ์
รายงานระบุอีกว่า คาดการณ์การค้าข้าวโลกในปี 2026 สูงเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้น 3.2 ล้านตันจากปี 2025 การค้าข้าวโลกในปีปฏิทิน 2026 คาดว่าจะสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 62.8 ล้านตัน สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ 0.3 ล้านตัน เนื่องจากการคาดการณ์การส่งออกที่เพิ่มขึ้นของพม่าและ จีน ชดเชยการลดลงของกัมพูชาได้มากกว่า
โดยการคาดการณ์การส่งออกของพม่าในปี 2026 เพิ่มขึ้น 300,000 ตัน เป็น 2.5 ล้านตัน เนื่องจากความสามารถการแข่งขันด้านราคา ในตลาด จีน สหภาพยุโรป และมาดากัสการ์
ส่วนจีนคาดจะส่งออกเพิ่มขึ้น 100,000 ตัน เป็น 1.3 ล้านตัน โดยอิงจากความต้องการข้าวเมล็ดขนาดกลางที่เพิ่มขึ้นจากตลาดหลักในแอฟริกา เอเชียตะวันออก และยุโรป สวนทาง การคาดการณ์การส่งออกของกัมพูชา ลดลง 100,000 ตัน เหลือ 4 ล้านตัน เนื่องจากเวียดนามลดการซื้อข้าวจากกัมพูชาลง เนื่องจากการห้ามนำเข้าข้าวของฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นผู้ซื้อข้าวเวียดนามรายใหญ่ ประกาศห้ามนำเข้าเป็นเวลา 60 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. เพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกในประเทศที่ต่ำ และได้ขยายเวลาห้ามนำเข้าออกไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2025
ราคาข้าวไทยพุ่งสวนตลาดรับดีลจีน-สิงคโปร์
ในส่วนของการนำเข้าข้าวทั่วโลกในปี 2026 การคาดการณ์เพิ่มขึ้นในเดือนนี้สำหรับจีนและแทนซาเนีย เนื่องจากราคาข้าวในตลาดโลกที่ค่อนข้างต่ำ ส่วนมาดากัสการ์ เนื่องจากผลผลิตที่ลดลง ในทางตรงกันข้าม การคาดการณ์ลดลงสำหรับเบนินและโตโก เนื่องจากคาดว่าข้าวสารหุงสุกจากอินเดียจะมีปริมาณมากกว่าที่คาดไว้ จะถูกส่งต่อไปยังไนจีเรีย สำหรับข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแก้ไขการส่งออกและนำเข้าสำหรับปี 2025 และ ลดลงสำหรับสหรัฐอินเดีย และอาร์เจนตินา
“ราคาข้าวหัก 5 %ของอินเดีย ลดลง 5 ดอลลาร์ เหลือ 350 ดอลลาร์ต่อตัน เนื่องจากผลผลิตสูงสุดเป็นประวัติการณ์และสต็อกยังเต็ม ในทางตรงกันข้าม ราคาข้าวเกรด B 100 %ของไทย เพิ่มขึ้น 39 ดอลลาร์ เป็น 387 ดอลลาร์ต่อตัน หลังจากข้อตกลงการส่งออกระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาลกับสิงคโปร์ และข้อตกลงทางการค้า ข้อตกลงส่งออกกับจีน ส่วนเวียดนามยังคงอยู่ที่ 365 ดอลลาร์เท่าเดิม”
นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือการบริหารจัดการสินค้าข้าว และยางพารา ว่า ที่ประชุมได้หารือแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างการผลิตข้าวทั้งระบบตามความเหมาะสม และตามศักยภาพของแต่ละพื้นที่ ตั้งแต่การขยายการรับรองพันธุ์ข้าวหอมมะลิ เพื่อกระจายพื้นที่ปลูกข้าวหอมมะลิให้กว้างขวางมากขึ้น
เร่งลดต้นทุนการผลิตหนุนข้าวทางเลือก
รวมถึงการสนับสนุนองค์ความรู้เพื่อการลดต้นทุนการผลิต และการส่งเสริมกระบวนการผลิตในรูปแบบข้าว GAP (Good Agricultural Practices), รูปแบบข้าวคาร์บอนต่ำ และรูปแบบข้าวออร์แกนิก ตลอดจนการหาตลาดรองรับให้แก่พี่น้องเกษตรกร ทั้งนี้ ได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรวบรวมข้อมูลพื้นที่ เพื่อวิเคราะห์และจัดกลุ่มโซนนิ่งพื้นที่ก่อนดำเนินการวางแผนส่งเสริมพี่น้องเกษตรกรต่อไป
กระทรวงเกษตรฯ ยังมีแนวทางในการบริหารจัดการสินค้ายางพารา โดยการศึกษาและวิจัยการใช้กลไกทางนวัตกรรมเพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราในประเทศ เช่น การแปรรูปท่อส่งน้ำ เพื่อใช้ในการวางระบบกระจายน้ำพื้นที่ภาคการเกษตร โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ การผลักดันกลไกยางพาราอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างตลาดรองรับที่ชัดเจน และมีราคาเหมาะสม เพื่อยกระดับสินค้าและคุณภาพชีวิตพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือแนวทางการพัฒนาระบบบริการภาคการเกษตร เพื่อลดข้อจำกัดทางการเข้าถึงบริการของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านอายุ ปัจจัยด้านต้นทุน และปัจจัยด้านพื้นที่ โดยมอบหมายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจความต้องการเกษตรกรในภาคส่วนของตน เพื่อดำเนินการปรับโครงสร้างการบริการให้เข้าถึงง่าย และอำนวยความสะดวกพี่น้องเกษตรกรให้มากที่สุดอีกด้วย
โซนนิ่งข้าวพื้นนุ่ม-รักษาฐานข้าวพื้นแข็ง
นายพีรพันธ์ คอทอง รักษาการเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า เนื่องจากการปลูกข้าวของไทยมีหลากหลายสายพันธ์ุและอยู่ในพื้นที่ทั้งเหมาะสมและไม่เหมาะสม ทำให้ผลผลิตที่ได้ ไม่คุ้มกับการลงทุนและต้นทุนสูง ดังนั้นกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงมีเป้าหมายจะปรับโครงสร้างทั้งระบบ พร้อมๆ ไปกับการจัดโซนนิ่ง ตามพื้นที่ที่มีความเหมาะสมก่อน กำหนดให้มีการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด แบ่งตามลักษณะ เช่นข้าวเหนียวที่นิยมปลุกในภาคเหนือและอีสาน ข้าวหอมมะลิในทุ่งกุลาร้องไห้ ข้าวพื้นนุ่ม ข้าวพื้นแข็ง ข้าวคาร์บอนต่ำ เป็นต้น
“สายพันธุ์ปทุมธานี1เป็นข้าวพื้นนุ่ม มีความหอมน้อยกว่าหอมมะลิ ต้องจัดโซนให้ชัดเจนในกลุ่มของข้าวนาปรัง ที่นิยมปลูกข้าวพื้นแข็งหรือข้าวขาว แม้ว่าความต้องการของตลาดในช่วงนี้จะเป็นพื้นนุ่ม แต่ข้าวพื้นแข็งยังต้องการในกลุ่มของการนำไปผลิตเส้นหมี่ ก๋วยเตี๋ยวและข้าวนึ่ง เป็นต้นหากทิ้งไปก็จะกลายเป็นไทยทิ้งตลาดกลุ่มนี้ไป ”
การจัดโซนนิ่งดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป โดยจะวิเคราะห์จากพื้นที่ที่เกษตรกรนิยมปลุกอยู่แล้วเป็นหลัก จากนั้นหน่วยงานภาครัฐจะเข้าไปส่งเสริมด้านเมล็ดพันธุ์ ปัจจัยการผลิตและกระบวนการปลูกข้าวเปียกสลับแห้ง ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะเป็นแต้มต่อของการตลาดที่ช่วยให้ราคาเพิ่มขึ้นได้อีกระดับหนึ่ง







