ส.อ.ท. เผย EV หนุนยอดผลิตรถยนต์ ส่วนส่งออกชะลอ ปีหน้าลุ้น 'การเมือง-งบรัฐ' ตัวแปร

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เริ่มตั้งหลัก EV ดันผลิต-ขายในประเทศ "ส.อ.ท." เตือนส่งออกชะลอ ชี้ "การเมือง-งบประมาณรัฐ" ปีหน้าคือตัวแปรชี้ขาด
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเดือนพ.ย.2568 เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวจากแรงหนุนของตลาดในประเทศ โดยเฉพาะการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เพื่อชดเชยเงื่อนไขการนำเข้า ขณะที่การผลิตเพื่อการส่งออกยังคงเผชิญแรงกดดันจากการปรับโครงสร้างรุ่นรถ และตลาดโลกที่ชะลอตัว
ทั้งนี้ การผลิตรถยนต์ทั้งหมดในเดือนพ.ย.2568 อยู่ที่ 130,222 คัน ลดลงจากเดือน ต.ค.2568 จำนวน 4.03% แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 11.06% ปัจจัยหลักมาจากการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศที่เพิ่มขึ้นถึง 57.49% เนื่องจากผู้ผลิตต้องเร่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อชดเชยในอัตรา 1.5 เท่าของยอดรถยนต์ไฟฟ้านำเข้ามาจำหน่ายในช่วงปี 2565–2566 ที่ยังผลิตไม่ครบในปีก่อน ส่งผลให้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 1,974.14%
ขณะเดียวกัน การผลิตรถกระบะเพิ่มขึ้น 7.34% จากการผลิตเพื่อขายในประเทศที่ขยายตัว 44.31% โดยรถยนต์นั่งในเดือนพ.ย.2568 ผลิตได้ 52,887 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 16.26%
สำหรับช่วงม.ค.–พ.ย.2568 การผลิตรถยนต์รวมอยู่ที่ 1,341,714 คัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2567 จำนวน 1.64% สะท้อนว่าการฟื้นตัวยังไม่กระจายทั่วทั้งอุตสาหกรรม
ในส่วนของการผลิตเพื่อส่งออก เดือนพ.ย.2568 ผลิตได้ 71,589 คัน คิดเป็น 54.97% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนพ.ย.2567 จำนวน 10.54% และในช่วง ม.ค.–พ.ย.2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 862,886 คัน คิดเป็น 64.31% ของยอดผลิตทั้งหมด ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.39%
โดยรถยนต์นั่งเพื่อการส่งออกในเดือนพ.ย.2568 อยู่ที่ 16,818 คัน ลดลง 29.71% และในช่วงม.ค.–พ.ย.2568 ส่งออกได้ 192,314 คัน คิดเป็น 38.11% ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจากปีก่อน 31.50% ขณะที่รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนพ.ย.2568 ส่งออกได้ 54,771 คัน ลดลงเล็กน้อย 2.36% แต่ช่วงม.ค.–พ.ย.2568 ส่งออกได้ 670,572 คัน คิดเป็น 80.10% ของยอดผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.42%
ด้านการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนพ.ย.2568 ผลิตได้ 58,633 คัน คิดเป็น 45.03% ของยอดผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 57.49% และในช่วงม.ค.–พ.ย.2568 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศได้ 478,828 คัน เพิ่มขึ้น 13.42%
ขณะที่ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศเดือนพ.ย.2568 อยู่ที่ 51,044 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค.2568 จำนวน 8.53% และเพิ่มขึ้นจากเดือนพ.ย.2567 ถึง 20.65% โดยมีแรงหนุนจากรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่ราคาจับต้องได้มากขึ้น รถกระบะดัดแปลง PPV รวมถึงการเริ่มจำหน่ายรถกระบะไฟฟ้า และรถกระบะไฟฟ้าเพิ่มระยะทาง (REEV) ในปีนี้
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ปัจจัยบวกอีกประการคือ สถานะทางการเงินของผู้ซื้อรถกระบะที่เริ่มแข็งแรงขึ้น ประกอบกับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่งผลให้ภาระผ่อนชำระลดลง ช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ และเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม
สำหรับการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนพ.ย.2568 ส่งออกได้ 78,692 คัน ลดลงจากเดือนก่อน 5.26% และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 12.22% จากการเลิกผลิตรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในบางรุ่นเพื่อส่งออก ส่งผลให้การส่งออกรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปลดลงถึง 43.53% แม้ยังคงมีการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ในเดือนพ.ย.2568 อยู่ที่ 52,219.97 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 9.90% ขณะที่ช่วงม.ค.–พ.ย.2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปได้ 850,787 คัน ลดลง 9.77% คิดเป็นมูลค่า 567,983.18 ล้านบาท ลดลง 12.18%
อย่างไรก็ตาม ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเดือนพ.ย.2568 มีการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบบ BEV ใหม่ 12,436 คัน เพิ่มขึ้น 69.11% และในช่วงม.ค.–พ.ย.2568 จดทะเบียนสะสม 129,044 คัน เพิ่มขึ้น 44.28%
ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าแบบ HEV เดือนพ.ย.2568 จดทะเบียนใหม่ 10,912 คัน เพิ่มขึ้น 29.77% และ PHEV จดทะเบียนใหม่ 1,072 คัน เพิ่มขึ้น 39.40% สะท้อนการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่ยุคไฟฟ้าอย่างชัดเจน
นายสุรพงษ์ กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ว่า ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศในปีนี้มีแนวโน้มที่จะบรรลุเป้าหมายที่ 600,000 คัน โดยปัจจัยบวกสำคัญมาจากยอดจองรถยนต์ในงานมหกรรมยานยนต์ (Motor Expo) ที่ผ่านมา ซึ่งทำตัวเลขได้สูงถึงประมาณ 75,000 คัน ถือเป็นยอดจองสูงสุดอันดับ 2 เท่าที่เคยมีมา
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามความสามารถในการส่งมอบรถยนต์ เนื่องจากยอดการผลิตในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาอยู่ที่กว่า 130,000 คัน ซึ่งถือว่าน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ ไทยส่งออกรถยนต์ไปยังกว่า 100 ประเทศทั่วโลก โดยมีตลาดหลักคือ เอเชีย (28.5%) ออสเตรเลีย และโอเชียเนีย (27%) และตะวันออกกลาง (21%) แต่ในขณะนี้เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวในบางตลาด โดยเฉพาะออสเตรเลียที่ยอดส่งออกลดลงถึง 16% เนื่องจากเผชิญการแข่งขันอย่างหนักจากรถยนต์ค่ายจีน ประกอบกับออสเตรเลียเริ่มบังคับใช้กฎหมายการปล่อยคาร์บอนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.68 ที่ผ่านมา ซึ่งอาจทำให้รถยนต์ที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ต้องเสียค่าธรรมเนียมปรับ ส่งผลให้ไทยต้องเร่งผลักดันการส่งออกรถกระบะไฟฟ้า
สำหรับประเด็นทางการเมืองที่ต้องติดตามหลังการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีหน้านั้น นายสุรพงษ์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความชัดเจนในหลายด้านที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมยานยนต์ ดังนี้
1. ความชัดเจนของรัฐบาลใหม่ และตัวบุคคล สิ่งที่ต้องจับตาคือใครจะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาล และใครจะมาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นภาพในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งจะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถปรับตัวเลขคาดการณ์ และวางแผนงานได้แม่นยำขึ้น
2. นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยภาคเอกชนรอฟังนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภาว่าจะเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใด และมีมาตรการอย่างไรในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้เติบโตขึ้น โดยหัวใจสำคัญคือ รัฐบาลใหม่จะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน หรือลดค่าครองชีพลงได้มากน้อยเพียงใด เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อรถยนต์หรือสินค้าอื่นๆ
3. การขับเคลื่อนงบประมาณปี 2570 ถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยต้องติดตามว่าจะสามารถผ่านสภาฯ และเริ่มเบิกจ่ายนำมาใช้ได้ทันตามกำหนดวันที่ 1 ต.ค. หรือไม่ เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
4. การสร้างบรรยากาศการลงทุน ภารกิจสำคัญของรัฐบาลใหม่คือ การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) รวมถึงการส่งเสริมให้นักลงทุนไทยเกิดความเชื่อมั่นในการขยายการลงทุนภายในประเทศ เพื่อสร้างงาน และสร้างรายได้ให้แก่คนไทยอย่างยั่งยืน
5. ทิศทางนโยบายการเงิน นโยบายของรัฐบาลใหม่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากมีแนวโน้มลดลงจะช่วยลดภาระการจ่ายดอกเบี้ย และทำให้ประชาชนมีเม็ดเงินเหลือไปใช้จ่ายในภาคส่วนอื่นๆ ได้มากขึ้น
ทั้งนี้ การเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จึงเปรียบเสมือนการเปลี่ยนตัว "กัปตันทีม" ที่จะเข้ามาวางกลยุทธ์ และกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนเรือใหญ่ลำนี้ท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจ หากกัปตันมีความชัดเจน และนำเสนอแผนการเดินทางที่น่าเชื่อถือ ก็จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้โดยสาร และนักลงทุนพร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยกัน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







