เวียดนามกำลังจะแซงไทย…จริงหรือ?

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คู่เปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนจากมาเลเซีย ซึ่งก้าวข้ามไทยเป็นที่เรียบร้อยและกำลังจะก้าวผ่านเกณฑ์ของประเทศรายได้สูงได้ภายในปี 2030 มาเป็นอินโดนีเซียและเวียดนาม
ทั้งอินโดนีเซียและเวียดนามต่างเป็นเศรษฐกิจที่มีอัตราการเจริญเติบโตสูงในรอบทศวรรษที่ผ่านมา
แต่ด้วยความคล้ายคลึงทั้งในเชิงโครงสร้าง ผลผลิต รวมไปถึงบริบทเกี่ยวข้องอื่นๆ ทำให้ไทยมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับเวียดนาม จนนำมาสู่คำถามที่ภายหลังเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ว่า “เวียดนามกำลังจะแซงไทย…จริงหรือ?”
หากเทียบกันเฉพาะขนาดเศรษฐกิจล้วนๆ ตัวชี้วัดเบื้องต้นที่พอนำมาเปรียบเทียบได้คือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ในปี 2024 ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของไทยนั้นอยู่ที่ 461,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 6,573 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวประชากร
เทียบกับเวียดนามที่ไล่กวดมาติดๆ ที่ 405,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4,017 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวประชากร จะเห็นได้ว่าขนาดเศรษฐกิจของไทยและเวียดนามนั้นเริ่มที่จะใกล้เคียงกันมาก
หากคำนวนคร่าวๆ โดยใช้อัตราการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2021-2024 ของไทยที่ 2.17% และของเวียดนามที่ 5.81% จะได้ผลว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของเวียดนามจะแซงไทยภายในปี 2028-29 ในขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อประชากรจะแซงได้ช้ากว่ากันมาก คือในปี 2042
อย่างไรก็ตาม หากใช้ภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อ หรือ Purchasing Power Parity ในการเปรียบเทียบ ช่องว่างดังกล่าวก็จะยิ่งแคบลงไปอีก
หากเปรียบเทียบกันเฉพาะของปี 2024 PPP ของไทยจะอยู่ที่ 1.55 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 21,737.178 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวประชากร เทียบกับเวียดนามที่ 1.45 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 14,415.216 ดอลลาร์สหรัฐต่อหัวประชากร
หากคำนวนคร่าวๆ โดยใช้อัตราการเติบโตเฉลี่ยระหว่างปี 2021-2024 ที่เท่ากันคือ 2.17% สำหรับไทย และ 5.81% สำหรับเวียดนาม PPP ของเวียดนามจะแซงไทยในปี 2026 ส่วน PPP ต่อหัวประชากรจะช้าไปถึงปี 2039 เป็นอย่างน้อย
เพื่อสรุปให้เห็นภาพ เวียดนามมีโอกาสที่จะแซงไทยในแง่ของขนาดเศรษฐกิจโดยสมบูรณ์ภายในปี 2030 หากวัดเฉพาะขนาดเศรษฐกิจรวมของทั้งประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบในเชิงรายได้ต่อหัวประชากร เวียดนามยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 15-20 ปีในการแซงไทย ปัจจัยสำคัญคือขนาดประชากรของเวียดนามที่มากถึง 101.6 ล้านคน เทียบกับไทยที่น้อยกว่าเพียง 71.6 ล้านคน
ถึงกระนั้น แนวโน้มข้างต้นตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าเศรษฐกิจไทยเติบโตเฉลี่ยที่ 2% และเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตเฉลี่ยที่ 5% ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงยังมีตัวแปรอีกมากที่ทำให้อัตราการเติบโตของทั้งสองประเทศ “เบี่ยงเบน” มากขึ้นหรือน้อยลงได้
ข้อมูลทางสถิติอื่นๆ ที่พอจะใช้ในการคาดการณ์แนวโน้มของการเจริญเติบโดทางเศรษฐกิจคือปัจจัยว่าด้วยผลิตภาพ (productivity) ซึ่งตามทฤษฎีแล้วการขยายตัวของผลิตภาพย่อมทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตจากปริมาณผลผลิตที่เพิ่มพูนสูงขึ้น
ตัวชี้วัดอย่างหนึ่งที่สำคัญคือ ผลิตภาพการผลิตรวม หรือ Total Factor Productivity ซึ่งหมายถึงความสามารถในการเพิ่มผลผลิตที่นอกเหนือไปจากการเพิ่มปัจจัยการผลิตอย่างปัจจัยทุนและแรงงาน เช่น การพัฒนาประสิทธิภาพ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และอื่นๆ
จากการคำนวนโดย Asian Productivity Organization พบว่าระหว่างปี 2020-2023 TFP ของเวียดนามเพิ่มขึ้นเฉลี่ยที่ 1.3% ในขณะที่ของไทยที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.3% เท่านั้น โดยที่อัตราเฉลี่ยของทั้งกลุ่มประเทศอาเซียนอยู่ที่ 1.5%
ในส่วนของปัจจัยทุนและแรงงานก็ไม่ได้มีแนวโน้มต่างกันนัก โดยผลรวมของการสะสมทุนถาวรเบื้องต้นหรือ Gross Fixed Capital Formation ระหว่างปี 2020-2023 ของเวียดนามนั้นขยายตัวโดยเฉลี่ย 4.34% เทียบกับของไทยที่ขยายตัวโดยเฉลี่ยเพียง 0.45%
ในขณะที่ผลิตภาพเฉลี่ยต่อหัวแรงงานของเวียดนามนั้นเพิ่มขึ้นถึง 4.6% ในขณะที่ของไทยนั้นเพิ่มขึ้นเพียง 0.6% เมื่อพิจารณาปริมาณกำลังแรงงานของไทยที่ 40.23 ล้านคน และของเวียดนามที่ 53 ล้านคน
ด้วยสถิติข้างต้น ในทางปฏิบัติแล้วจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ผลิตภาพที่ดีกว่าของเวียดนามจะส่งผลในรูปของแนวโน้มของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าไทย อย่างน้อยก็ภายในระยะเวลา 3-5 ปีต่อจากนี้ จนสามารถ “ไล่กวด” ไทยได้อย่างหายใจรดต้นคอ
อย่างไรก็ดี เวียดนามยังคงเผชิญกับความท้าทายที่เปรียบเสมือนเป็น “เพดานแก้ว” ที่จำกัดอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ หนึ่งคือ การเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเวียดนามในปัจจุบันคือผลลัพธ์โดยตรงจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI
หากพิจารณาลงลึกไปยัง “ไส้ใน” ก็จะพบว่าเม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่ลงไปในภาคการผลิตและส่งออกโดยเฉพาะในภาคอิเล็กทรอนิกส์และสิ่งทอ ซึ่งมีสิงคโปร์ เกาหลี จีน ฮ่องกง และญี่ปุ่นเป็นผู้ลงทุนหลัก
ในที่นี้ แม้ว่ายุทธศาสตร์ FDI จะเป็นเครื่องมือที่ให้ “ประสิทธิผล” ในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยเฉพาะท่ามกลางบริบทของสงครามการค้าที่เวียดนามได้ประโยชน์ในฐานะ “ทางผ่าน” ของสินค้าและบริการขั้นกลางจากจีน ไปสู่สินค้าและบริการขั้นสมบูรณ์ที่ถูกส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ตาม ข้อได้เปรียบที่ว่าในขณะเดียวกันก็ “อ่อนไหว” ต่อความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง เช่นที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการโต้ตอบในรูปแบบของกำแพงภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ส่วนที่สองยังคงเกี่ยวเนื่องกับ FDI คือความล้มเหลวในการสร้างอุตสาหกรรมต้นน้ำ (backward linkages) ที่ตามรายงานล่าสุดของ OECD ชี้ให้เห็นว่ามูลค่าเพิ่มของสินค้าส่งออกถึง 48% มาจากต่างชาติ และ 4 ใน 5 ของมูลค่าสินค้าส่งออกนั้นมาจากสินค้านำเข้าอีกทอดหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ สถานะของการเป็นเพียง “ผู้รับจ้างประกอบ” ไม่เพียงทำให้เวียดนามจะขาดแคลนบรรษัทท้องถิ่นที่สามารถแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ เวียดนามยังมีบทบาทน้อยมากใน Global Value Chain เมื่อเทียบกับกลุ่มเศรษฐกิจ ASEAN อื่นๆ โดยเฉพาะบทบาทของภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในการสร้างมูลค่าส่วนเพิ่มทางเศรษฐกิจอีกด้วย
ส่วนที่สาม ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับส่วนก่อนหน้าด้วย คือข้อจำกัดด้านแรงงาน กล่าวคือเวียดนามมีข้อได้เปรียบด้านกำลังแรงงานในวัยฉกรรจ์จำนวนมหาศาล ที่พร้อมเข้าสู่ภาคการผลิตและบริการ
อย่างไรก็ตาม กำลังแรงงานส่วนมากยังคงเป็นแรงงานทักษะต่ำ ส่วนแรงงานทักษะสูง อย่างผู้จบการศึกษาระดับอาชีวะหรือมหาวิทยาลัยยังคงขาดแคลนอยู่เป็นอย่างมาก แม้ว่าเวียดนามพยายามจะเร่งพัฒนาทั้งในด้านคุณภาพและปริมาณ แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยเฉพาะกับแรงงานทักษะสูงด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความท้าทายของประเทศเศรษฐกิจกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่จำต้องเผชิญในระยะ “ขั้นกลาง” ของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งไทยเองก็เคยเผชิญมาก่อนหน้าในทศวรรษที่ 2530 และ 2540
หากมองไทยและเวียดนามเป็นเหมือนนักวิ่งสองคนที่ต่าง “วิ่งไล่กวด” (catch up) ตามท้ายประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลาย ณ วันนี้ ทั้งคู่ต่างมีกำแพงที่ต้องก้าวข้ามผ่านไปให้ได้ร่วมกัน ซึ่งก็คือ “กับดักรายได้ปานกลาง”
แนวทางของเวียดนามคือยุทธศาสตร์ Doi Moi 2.0 ที่พยายามสร้างภาคเอกชนอันเข้มแข็ง ให้มีผลิตภาพเพิ่มขึ้นและสร้างนวัตกรรมได้มากขึ้น ส่วนของไทยคือการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันตามแนวทางในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่แม้ในปัจจุบันอาจจะยังไม่ค่อยออกดอกออกผลเป็นรูปธรรมซักเท่าใด
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่นักวิ่งวัยกลางคน ผู้ซึ่งสภาพร่างกายบางส่วนเริ่มถดถอยอย่างไทย อาจจะต้องใช้ความพยายามมากกว่าในการฟื้นฟูสภาพร่างกายเพื่อรักษาระยะห่างกับนักวิ่งที่หนุ่มกว่า สดกว่า และฟิตกว่าอย่างเวียดนาม
และที่สำคัญที่สุดคือ ไทยยังคงต้องพยายามที่จะวิ่งต่อไป ไม่ใช่ค่อยๆ ชะลอความเร็วจนกลับมาหยุดนิ่ง เพราะหากเป็นเช่นนั้น เวียดนามย่อมแซงไทยเป็นอย่างที่แน่นอน แม้ว่าเวียดนามเองจะไม่ได้ปรับปรุงหรือพัฒนาเพิ่มเติมแต่อย่างใด.







