ซีพีเอฟ เปิดสูตรเลี้ยงกุ้งอย่างไรให้ได้กำไรอย่างยั่งยืน

เมื่อสหรัฐขึ้นอัตราภาษีนำเข้ากุ้งจากอินเดีย 60% สูงกว่าไทยที่เสียภาษีนำเข้า 19% รวมทั้งยังมีตลาดสหภาพยุโรปที่ใกล้เจรจาความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีกับไทยได้สำเร็จอีก 3หมื่นตัน โอกาสกุ้งไทยจึงดูสดใสในปี 69
โอกาสในการไขว่คว้าตลาดส่งออกจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อไทยต้อง “ผลิตกุ้ง” เพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 270,000 ตัน ให้ได้ตามเป้าหมายของสมาคมกุ้งไทยคาดไว้ 400,000 แสนตันเสียก่อน ไม่เช่นนั้น ตลาดดี ไม่มีสินค้า ก็เท่ากับเสียโอกาส
การเพิ่มผลผลิตกุ้งนั้นเป็นประเด็นหนึ่งที่ได้มีการแลกเปลี่ยนมุมมองกันในงาน Thai Aqua Expo 2025 จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ นายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ ผู้อำนวยการใหญ่ ธุรกิจสัตว์น้ำครบวงจรเขตประเทศไทย บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ กล่าวว่า ปัญหาหลักของเกษตรกรไทยผู้เลี้ยงกุ้งไทยวันนี้มี 2 เรื่อง 1. ความเสียหายประกอบด้วย 1.1 ความเสียหายที่ไม่สามารถสร้างผลผลิตได้ 1.2 ความเสียหายที่ยังสามารถทำผลผลิตได้แต่ไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2. ต้นทุนการผลิตสูง วันนี้กลยุทธ์หลักสู่ความสำเร็จของเกษตรกรไทยต้อง สร้างความสำเร็จ 100% และ เป็นผู้นำต้นทุนการผลิตต่ำ
เลี้ยงกุ้งอย่างอย่างไรให้ยั่งยืน
โรค ยังอยู่กับการเลี้ยงกุ้งตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตัวแดงดวงขาว หัวเหลือง จากไวรัส อีเอ็มเอส จากแบคทีเรีย อีเอชพี จากไมโครสปอริเดีย และอาการขี้ขาว โรคมีวิวัฒนาการในการปรับตัวที่อยู่รอดและเกิดเป็นโรคใหม่ๆขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นระบบป้องกันโรค (จากไวรัสและแบคทีเรีย) จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ไม่เกิดความเสียหายที่เกษตรกรต้องให้ความสำคัญและเข้มข้นตลอดเวลา โดยเฉพาะการป้องกัน “ทางน้ำ” ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดมากกว่า 60% ทางบก 20% อากาศ 20% ซึ่งความเสียหายจากโรคเป็นต้นทุนแฝงที่ทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรเพิ่มสูงขึ้น
เพิ่มความสามารถในการทำกำไรของเกษตรกร
สิ่งสำคัญคือ ในวันนี้เกษตรกรจะต้องรู้ว่าต้นทุนการผลิตของเราอยู่ที่เท่าไร แล้วเราจะลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้อย่างไร
1.เพิ่มผลผลิตสูงขึ้น การทำให้ผลผลิตสูงขึ้นไม่จำเป็นต้องเพิ่มความหนาแน่นหรือเพิ่มปริมาณของกุ้งที่ปล่อย การปล่อยกุ้งเพิ่มแต่ความสามารถในการรองรับผลผลิตยังเท่าเดิม เราก็จะได้ผลผลิตเท่าเดิมแต่ได้กุ้งที่มีขนาดเล็กลงแทน เช่น ถ้าบ่อสามารถรองรับผลผลิตได้ที่ 3,000 กก./ไร่
เช่น ถ้าเราปล่อยกุ้งที่ 100,000 ตัว/ไร่ ความสามารถที่เราจะจับกุ้งได้ขนาดกุ้ง 33 ตัว/กก. ถ้าเราปล่อยกุ้งที่ 150,000 ตัว/ไร่ ความสามารถที่เราจะจับกุ้งได้ขนาดกุ้ง 50 ตัว/กก. ถ้าเราปล่อยกุ้งที่ 200,000 ตัว/ไร่ ความสามารถที่เราจะจับกุ้งได้ขนาดกุ้ง 70 ตัว/กก.
ดังนั้นหัวใจสำคัญของการเพิ่มผลผลิตที่สูงขึ้นอยู่ที่การเพิ่มความสามารถรองรับผลผลิตของบ่อ (carrying capacity) โดยแต่ละบ่อความสามารถในการรองรับผลผลิตจะแตกต่างกันไปซึ่งเกษตรกรจะต้องทราบถึงความสามารถของแต่ละบ่อ โดยในบ่อจะประกอบไปด้วย กุ้ง สารอินทรีย์ เชื้อโรค แพลงก์ตอน สิ่งมีชีวิตอื่น ตะกอน
ดังนั้นเราจะเพิ่มผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นจากการเพิ่มความสามารถในการรองรับผลผลิตของบ่อ โดย การเพิ่มเติมปริมาณแร่ธาตุ ปริมาณออกซิเจน ให้เพียงพอต่อความต้องการของกุ้งในบ่อ และการควบคุมความหนาแน่นที่เหมาะสมระหว่างการเลี้ยง การลดปริมาณสารอินทรีย์ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในบ่อ โดยการดูดตะกอน การจัดการการให้อาหารที่เหมาะสม การจัดการคุณภาพน้ำ
การแบ่งจับกุ้งออกบางส่วน เพื่อให้มีพื้นที่ในการรองรับผลผลิตที่เพิ่มขึ้น เช่น เมื่อผลผลิตในบ่อถึงจุดที่บ่อจะรองรับผลผลิตได้ เราทำการแบ่งออกกุ้ง 30% แล้วทำการเลี้ยงส่วนที่เหลือต่อก็จะสามารถทำให้เราผลิตกุ้งได้ไซส์ใหญ่ขึ้นและมีปริมาณผลผลิตรวมที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มพื้นที่สะอาดภายในบ่อให้มากสุด โดยการลดพื้นที่รวมตะกอนจากการจำกัดพื้นที่ของตะกอนให้น้อยที่สุดและการนำตะกอนออกจากบ่อ
การเพิ่มระดับน้ำ จาก 1.5 เมตร เป็น 2 เมตร จากบ่อที่มีความสามารถในการผลิต 3,000 กก./ไร่ โดยความลึกของน้ำ 1.6 เมตร การปล่อยกุ้งที่ 100,000 ตัว/ไร่ สามารถผลิตได้ที่ ขนาดกุ้ง 30 ตัว/กก. ผลผลิตกุ้ง 3,300 กก./ไร่ ถ้าเพิ่มระดับน้ำเป็น 2 เมตร. เราสามารถผลิตได้ที่ขนาด 25 ตัว/กก. ผลผลิตกุ้ง 4,100 กก./ไร่
ซึ่งเมื่อเราสามารถเพิ่มความสามารถในการรองรับผลผลิต เราก็จะสามารถเพิ่มปริมาณผลผลิต ผ่านการทำกุ้งให้ขนาดใหญ่ โดยเขาชี้ให้เห็นว่า สูตรการเลี้ยงกุ้งยิ่งตัวใหญ่ยิ่งได้ราคาดี จะสามารถสร้างผลตอบแทนต่อเกษตรกรในรูปกำไรได้สูงสุดถึง 500,000 บาทต่อไร่ หรือ กำไรกก.ละ 100 บาทต่อกุ้งขนาดใหญ่ 20 ตัว/กก. การเลี้ยงกุ้ง 1 ไร่จะได้ผลผลิต 5,000 กก. กุ้งไซส์ใหญ่ได้ราคา กก.ละ 280 บาท จากต้นทุน 180 บาท กำไร กก.ละ 100 บาท เพราะเทียบกับการผลิตไซส์เล็ก เช่น 70 ตัว/กก. จะได้ผลผลิต 1,400 กก. กุ้งไซส์เล็กได้ราคากก.ละ 150 บาท เทียบกับต้นทุน 120 บาท กำไร กก.ละ 30 บาท ทำกำไรต่อไร่ได้เพียง 40,000 บาทเท่านั้น ขึ้น ก็จะทำให้เราสามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้นรวมทั้งยังทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น
2. คุณภาพดี เกษตรกรต้องผลิตกุ้งที่ดี คือ กุ้งสุขภาพดี ไม่ป่วย ปลอดสารตกค้าง ตรงความต้องการของตลาด และ 3. ต้นทุนต่ำ ด้วยแนวคิด 3 สูง 1 ต่ำ 1 ศูนย์ (3:1:0) กลยุทธ์สู่ความเป็นผู้นำต้นทุนต่ำ โดย 3 สูง หมายถึง “อัตราการเจริญเติบโตสูง” ระยะเวลาการเลี้ยงสั้นทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำ ซึ่งโดยเฉลี่ยในการผลิตกุ้งของเกษตรกรจะมีต้นทุนการผลิตต่อวัน เฉลี่ยที่วันละ 1 บาท/กก.กุ้ง (ค่าอาหาร ค่าไฟฟ้า ค่าปัจจัยการผลิต) เช่น ถ้าเราเลี้ยงกุ้งจากปกติ 120 วัน ลดลงมาเหลือ 90 วัน ก็จะทำให้เราลดต้นทุนไปได้ถึง 30 บาท/กก.กุ้ง
“อัตรารอดสูง” อัตรารอดที่หายไป 20% จะทำให้ต้นทุน ค่าอาหารกุ้งเพิ่มขึ้น 10-12 บาท/กก. และต้นทุนค่าลูกกุ้งเพิ่มขึ้น 20% และ “ผลผลิตต่อพื้นที่สูง” เพื่อลดค่าใช้จ่ายคงที่ เช่นค่าก่อสร้าง ค่าอุปกรณ์ ค่าปรับปรุงบ่อ ค่าแรงงาน
ส่วน 1 ต่ำ หมายถึง อัตราแลกเนื้อต่ำ และ 1 ศูนย์ สุดท้าย หมายถึง ไม่มีการเสียหายระหว่างการเลี้ยง การเสียหายภายใน 30 วัน จะส่งผลทำให้ไม่มีผลผลิตซึ่งจะกลายเป็นต้นทุนแฝงในการผลิตของเกษตรกร เช่น ถ้ามีความเสียหาย 10 % จากการเลี้ยงทั้งหมด จะมีต้นทุนแฝง 5 บาท/กก.กุ้ง ถ้ามีความเสียหาย 20 % จากการเลี้ยงทั้งหมด จะมีต้นทุนแฝง 10 บาท/กก.กุ้ง และ ถ้ามีความเสียหาย 50 % จากการเลี้ยงทั้งหมด จะมีต้นทุนแฝง 40 บาท/กก.กุ้ง
ดังนั้นระบบไบโอซีเคียวจึงเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันโรคที่เกษตรกรต้องให้ความสำคัญและเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง
รักษาสมดุลการเลี้ยงเพื่อความสำเร็จ
ลดของเสียในระบบและควบคุมเชื้อในระบบ โดยเริ่มตั้งแต่การให้อาหารกุ้งที่เหมาะสมกับการเลี้ยง โปรตีนที่พอเหมาะและจำเป็นสำหรับกุ้ง โดยที่กุ้งสามารถย่อยและดูดซึมไปใช้ได้มากที่สุดทำให้มีโปรตีนส่วนเกินตกค้างในบ่อน้อย
การจัดการและควบคุมของเสียในระบบการเลี้ยง โดยโปรแกรมและการให้อาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตเพื่อให้กุ้งแข็งแรง ไม่ให้อาหารกุ้งมากเกินความต้องการของกุ้งจนเหลือเป็นของเสีย มีระบบการจัดการของเสียที่ดีทั้งการกำจัดและการบำบัด
การควบคุมเชื้อในระบบการเลี้ยงและการรักษาสิ่งแวดล้อมภายนอก โดยการหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะและสารเคมีต้องห้ามระหว่างการเลี้ยง การจัดเก็บของเสียและบำบัดคุณภาพน้ำให้เหมาะสมก่อนปล่อยสู่ภายนอก
การสร้างสมดุลจุลินทรีย์ในระบบการเลี้ยงหรือโปรไบโอติกฟาร์มมิ่ง โดยการสร้างสมดุลจุลินทรีย์สำหรับเสริมสุขภาพกุ้ง จุลินทรีย์สำหรับบำบัดในน้ำ และ จุลินทรีย์สำหรับการบำบัดพื้นบ่อ
การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เริ่มตั้งแต่ความสำเร็จต้อง 100% เพื่อลดต้นทุนแฝง การเพิ่มความสามารถในการรองรับผลผลิตกุ้งของบ่อเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตต่อพื้นที่ การเป็นผู้นำต้นทุนการเลี้ยงต่ำ การสร้างสมดุลการเลี้ยงให้เหมาะสมด้วยโปรไบโอติกฟาร์มมิ่ง การผลิตกุ้งคุณภาพ ปลอดภัยไร้สารตกค้าง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้ไม่เพียงสร้างรายได้งาม แต่ยังสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรและอุตสาหกรรมกุ้งไทยตลอดไป







