‘ยศชนัน’ อาสาแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทย ปรับโครงสร้างทั้งระบบ - ชูธงเศรษฐกิจมูลค่าสูง

“ยศชนัน”เปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ชี้เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายซับซ้อนกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง ท่ามกลางแรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยีดิสรัปชัน และกระแสความยั่งยืน
KEY
POINTS
- “ยศชนัน”เปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย
- ชี้ปัญหาเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทายซับซ้อนกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง ท่ามกลางแรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยีดิสรัปชัน และกระแสความยั่งยืน
- เขาเสนอให้เร่งปรับโครงสร้างประเทศทั้งระบบเพื่อเพิ่มขีดแข่งขันประเทศ
- แนะปักธงเศรษฐกิจมูลค่าสูง ใช้ AI ยกระดับอาหารและการแพทย์ สร้างเครื่องยนต์ใหม่ หนุน SMEs–สตาร์ทอัพ ควบคู่การดูแลปากท้องประชาชน
เปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นทางการสำหรับ "ศ.ดร.ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์" พร้อมกับแนวทางและความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“ยศชนัน” ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีความท้าทายอย่างมาก ปัญหาเศรษฐกิจรอบนี้มีความซับซ้อนกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งในปี 2540 เพราะในปี 2540 ปัญหาหลักอยู่ที่เศรษฐกิจในประเทศ และเศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตได้ดีทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ง่าย แต่ในวันนี้ ปัญหาเศรษฐกิจได้ถูก มัดรวมเข้ากับมิติอื่นๆ ที่ซับซ้อนขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ปัญหาเศรษฐกิจวันนี้รวมกับประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) และภูมิเศรษฐศาสตร์ (geo-economic) เรื่อง เช่น การเข้ามาของเทคโนโลยีดิสรัปชัน (Tech Disruption) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และไบโอเทค ที่กำลังเปลี่ยนมิติการผลิตทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate change) และภัยพิบัติ รวมถึงการเข้ามาของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG)
“ปัจจุบันเวลาที่นักลงทุนจะตัดสินใจลงทุน พวกเขาไม่ได้ดูเพียงแค่งบดุลของบริษัทเท่านั้น แต่จะพิจารณาตลอดทั้ง ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ว่าเมื่อมาลงทุนประเทศนั้นๆมีการปฏิบัติตามมาตรฐาน SDG หรือไม่ และซัพพลายที่มานั้นเป็นมิตรต่อโลกหรือไม่ ดังนั้น เป้าหมายของเราคือการปรับโครงสร้างพื้นฐานทุกมิติ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุคใหม่”ยศชนัน ระบุ
ชี้ไทยต้องปักธงนำเศรษฐกิจใหม่ของประเทศ
ยศชนัน กล่าวต่อว่าประเทศไทยเราต้องมี “ธงนำ” หรือ “Flagship” ที่ชัดเจนในการพัฒนาเศรษฐกิจใหม่ โดยตนเองมองว่าประเทศไทยควรจะได้รับการผลักดันให้เป็นศูนย์กลางปัญญาประดิษฐ์ (AI) แต่ใช้ในเฉพาะด้านที่เรามีความถนัดและได้เปรียบ เช่น ทางด้านอาหาร (Food) และการแพทย์ (Wellness Economy) โดยการเกษตรคือรากฐานสำคัญของเรา การเกษตรคือเรื่องของความหลากหลายทางชีวภาพ และเป็นต้นน้ำของอาหารและวัสดุขั้นสูง เราไม่ควรทิ้งสิ่งที่เราเก่ง นโยบายต้องมุ่งเน้น เพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น โดยเล่นในห่วงโซ่อุปทานเราควรทำให้ครบวงจร และควรใช้ AI เข้ามาเสริมด้านอาหาร เพื่อให้อาหารไทยสามารถเป็นอันดับ 1 ของโลกได้
ส่วนในเรื่องของการแพทย์ นั้นการส่งเสริมให้เกิด “Medical AI Hub” ประเทศไทยต้องมุ่งเน้นเป็น Data Center สำหรับ Medical AI โดยเฉพาะ ไม่ใช่เป็นเพียงฐาน Data Center ทั่วไป เนื่องจากเรามีข้อจำกัดด้านพลังงานและอาจไม่ได้มูลค่าเพิ่ม โดยโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ต้องถูกสร้างแบบ Project Base ที่ตอบโจทย์ประชาชน การที่เราเป็นฮับด้านนี้จะทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลและใช้ประโยชน์จากข้อมูลด้านการแพทย์ก่อนประเทศอื่นได้ เพื่อ รักษาเอกราชในการเข้าถึงสุขภาพที่ดี
โดยเราสามารถเจรจากับนักลงทุนต่างชาติที่มาทำ Data Center เพื่อให้มีการจ้างงานและถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) ไปยังมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะการผลิตชิป (IC) หรือวัสดุภายในที่เกี่ยวข้อง
ส่วนภาคบริการจะเติบโตควบคู่ไปกับการแพทย์ (Medical Tourism) และเราต้องดึงดูดผู้มีศักยภาพและคนไทยที่เชี่ยวชาญในต่างประเทศให้กลับมาทำงานในประเทศ
หวังนโยบายการเงิน การคลังสอดรับกัน
สำหรับในเรื่องของการดูแลปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจพื้นฐานยศชนัน กล่าวว่าเป็นสิ่งที่ ต้องทำ แต่เพื่อให้คนตัวเล็ก ๆ มีพลังในการช่วยขับเคลื่อนจีดีพีโดยมีแนวคิดว่านโยบายแบบเดิมต้องยังคงอยู่ เพราะรัฐบาลต้องดูแลเรื่องนโยบายการเงิน การคลัง หนี้สิน และสวัสดิการต่างๆ ส่วนการดูแลปัญหาปากท้อง คือการทำให้คน ไม่มีหนี้ และมีสวัสดิการที่ดี พวกเขาถึงจะมีพลังเข้ามาทำเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ๆให้ประเทศได้
“สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในปัจจุบัน คือบริบทปัญหาของโลกที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้การดูแลปากท้องแบบเดิมเพียงอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องทำควบคู่ไปกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่เพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจมูลค่าสูงด้วย เรามีศักยภาพและมีหวังครับ ถ้าเราเริ่มต้นวางรากฐานอย่างถูกต้องในปีหน้า ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า เราจะกลับมาเติบโตได้ใกล้เคียงกับเดิม”ยศชนัน กล่าว
กางกลยุทธ์ปั๊มจีดีพีไทยโต 5%
สำหรับเรื่องของกลยุทธ์ของนโยบายเศรษฐกิจ ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ปีละ 5% เหมือนที่เคยเป็นในอดีต เราจำเป็นต้องทำให้นโยบายการเงินและการคลังสมดุลกัน และต้องดูแลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนให้ดี ขณะเดียวกันต้องมีการขับเคลื่อนสิ่งต่างๆควบคู่กันไป ได้แก่
1.การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) โดยต่อยอดจากสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว เราต้องใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่เท่าเดิมให้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การปรับปรุงพันธุ์พืช การปรับปรุงดิน หรือการดูแลเรื่องน้ำให้ดี
2.ค้นหาเครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ (New Growth Engine) โดยเราต้องหาศักยภาพใหม่ที่ประเทศไทยมีแต่ยังไม่ได้ลงมือทำอย่างจริงจัง
และ 3.เตรียมพร้อมเรื่องคนและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีสำหรับอนาคต
แนะเพิ่มการเชื่อมโยงสร้างตลาดภูมิภาค
ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญคือการสร้างความเชื่อมโยง (Connectivity) โดยปัญหาสำคัญที่สุดที่เราต้องแก้ไขคือเรื่อง Connectivity ไทยมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ เราอยู่ตรงศูนย์กลางที่เชื่อมโยงกับประชากรมหาศาล ทั้งกลุ่มประเทศฝั่งอินเดีย ที่มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน และจีนตอนใต้ เราต้องมองทั้งโลกเป็นระบบนิเวศของเรา และใช้การทูตและกฎระเบียบเข้ามาเชื่อมโยง
นอกจากนี้ไทยเราจำเป็นต้องเปิดกว้างในการส่งเสริมการลงทุนใหม่ๆ แต่ต้องมีเงื่อนไขที่เป็นการดึงดูดการลงทุนทางตรง (FDI) โดยนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาต้องร่วมมือกับคนไทย และต้องสามารถ ถ่ายทอดเทคโนโลยี อย่างเหมาะสม หากไม่มีเงื่อนไขใดๆ การดึง FDI เข้ามาอย่างเดียวก็จะไม่เกิดประโยชน์ เราต้องมั่นใจว่าในอนาคตคนไทยจะสามารถยืนได้ด้วยตนเอง
บทบาทรัฐสร้างนิเวศหนุนสตาร์ทอัพ -SMEs
นอกจากนั้นรัฐบาลควรช่วยให้มีการค้นหาศักยภาพใหม่ ๆ หลายอย่างซ่อนอยู่ในธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) หรือสตาร์ทอัพ ตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัย แต่ปัจจุบันระบบนิเวศของเรายังไม่เอื้ออำนวยยกตัวอย่างเช่น การตั้งกองทุนที่เป็น VC และ Angel Investor จากต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ เกาหลี ฮ่องกง และอเมริกา ที่สนใจไอเดียของสตาร์ทอัพไทย มักจะชักชวนให้ไปจดทะเบียนบริษัทในประเทศของเขาแทน
“เราต้องสร้างระบบที่ชัดเจนให้คนตัวเล็กเห็นเส้นทางการเติบโตไปสู่การเป็น ยูนิคอร์น"ด้ เหมือนนักฟุตบอลหมู่บ้านที่รู้ว่ามีโอกาสเติบโตไปสู่ทีมชาติได้ สิ่งนี้คือการให้ความหวังที่จับต้องได้”
สำหรับนโยบายในการดึงดูดบุคลากรคุณภาพสูงก็มีความสำคัญเช่นกัน เราต้องสร้างพื้นที่สาธารณะ (Public Space) ที่เปิดโอกาสให้คนที่มีความหลากหลายทางความคิดได้มาพบกัน (Diversity) และต้องกล้าเชิญผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเข้ามา เช่น ถ้าเราอยากสร้างเครื่อง MRI เราก็สามารถนำเข้า นักฟิสิกส์รางวัลโนเบล, เจ้าของโรงงานผลิตเครื่องมือแพทย์, และหมอระดับสูง เข้ามาทำงานร่วมกับคนไทย เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว การมองว่าเราทำไม่ได้เพราะไม่มีงบประมาณหรือทรัพยากรคือการจำกัดตัวเอง
ที่ผ่านมาปัญหาของการ Up Skill/Re Skill ในประเทศไทยคือ เราไม่รู้ว่าจะพัฒนาทักษะในเรื่องใด วิธีแก้ไขคือเราต้อง ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและสูงก่อน ว่าเราต้องการเศรษฐกิจมูลค่าสูง เราใช้เทคนิคที่เรียกว่า Back casting คือกำหนดเป้าหมายที่เราต้องการในอนาคต เช่น ปี 2050 แล้วทำงานย้อนกลับมาเพื่อกำหนดขั้นตอนและทักษะที่จำเป็น
เมื่อมีเป้าหมายชัดเจน ทุกคนจะรู้ว่าต้องทำอะไร หากไม่มีคนสอน ก็ต้องหาเข้ามาสอน ไม่ว่าจะเป็นคอร์สออนไลน์ การนำเข้าผู้เชี่ยวชาญ หรือการปรับหลักสูตรตั้งแต่ประถมถึงมหาวิทยาลัย บทบาทของรัฐบาล คือ อการกำหนดเป้าหมายสูงสุด และ อำนวยความสะดวก (facilitate) ให้ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และหน่วยงานรัฐทำงานปรับตัวได้ง่ายขึ้นในการรองรับดีมานต์ในอนาคต







