10 เมกะเทรนด์กำหนดเศรษฐกิจไทยปี 2569

10 เมกะเทรนด์กำหนดเศรษฐกิจไทยปี 2569

เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ปี 2569 ท่ามกลางความผันผวนจากหลายทิศทาง ทั้งแรงกดดันจากภายนอกและปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ สถาบันวิจัยหลายแห่งทั้ง IMF ธนาคารโลก และธนาคารแห่งประเทศไทย

คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในระดับต่ำที่ประมาณร้อยละ 1.6-1.9 เท่านั้น นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว ยังมี 10 เมกะเทรนด์สำคัญที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนควรจับตามองในปีหน้า

เมกะเทรนด์แรกคือ สงครามการค้าและการแบ่งขั้วทางภูมิรัฐศาสตร์ สหรัฐฯ บังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อไทยทำให้เป็นแรงกดดันสำคัญต่อภาคส่งออก โลกกำลังเปลี่ยนจากตลาดขนาดใหญ่แบบโลกาภิวัตน์ไปสู่ตลาดระดับภูมิภาคที่พึ่งพาห่วงโซ่อุปทานท้องถิ่นมากขึ้น ไทยจึงต้องปรับกลยุทธ์การค้าให้หลากหลายและลดการพึ่งพาตลาดดั้งเดิม

เมกะเทรนด์ที่สองคือ โอกาสจากการย้ายฐานการผลิตตามกลยุทธ์ China+1 บริษัทข้ามชาติจำนวนมากกำลังกระจายความเสี่ยงออกจากจีนและมองหาฐานการผลิตใหม่ในอาเซียน ทำให้ไทยต้องแข่งขันอย่างเข้มข้นกับเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในด้านทักษะแรงงานและความน่าเชื่อถือของโครงสร้างพื้นฐาน

เมกะเทรนด์ที่สามคือ การแพร่กระจายของปัญญาประดิษฐ์ในฐานะเทคโนโลยีพื้นฐาน ในปี 2569 AI จะไม่ใช่เรื่องของอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งอีกต่อไป แต่จะกระทบกับทุกมิติของเศรษฐกิจไทย ทั้งในภาพรวมและระดับสถานประกอบการ

เมกะเทรนด์ที่สี่คือ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขนานใหญ่ ไทยกำลังดึงดูดการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์มหาศาล AWS ประกาศลงทุน 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ Google ลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ที่ชลบุรี และ Microsoft เปิดตัว Cloud Region แห่งแรกในไทย

ตั้งแต่ปี 2565 BOI รับคำขอลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ 57 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ปริมาณงาน AI คิดเป็นร้อยละ 28 ของกำลังการผลิตดาต้าเซ็นเตอร์แล้ว เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 20 ในปี 2567

เมกะเทรนด์ที่ห้าคือ สังคมผู้สูงอายุและการเติบโตของ Silver Economy ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเป็นทางการในปี 2566 เมื่อประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนถึงร้อยละ 20 และคาดว่าจะกลายเป็นสังคมสูงอายุระดับสุดยอดภายในปี 2572 ไทยใช้เวลาเพียง 20 ปีในการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เร็วกว่าสิงคโปร์และจีนมาก

การใช้จ่ายของผู้สูงอายุไทยแตะ 2.18 ล้านล้านบาทในปี 2566 และคาดว่าจะพุ่งสูงถึง 3.5 ล้านล้านบาทในปี 2576 ภาคธุรกิจที่มีศักยภาพ ได้แก่ การดูแลสุขภาพ ที่อยู่อาศัยแบบ Universal Design และบริการดูแลผู้สูงอายุ

เมกะเทรนด์ที่หกคือ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่กดทับอุปสงค์ภายในประเทศ หนี้ครัวเรือนไทยยังคงอยู่ในระดับสูงถึงร้อยละ 88-89 ของ GDP สูงที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียแปซิฟิก ปัญหานี้กดดันการบริโภคและจำกัดการเข้าถึงสินเชื่อ ส่งผลต่อค้าปลีกและ SME สร้างภาวะเศรษฐกิจแบบ K-shaped Recovery ที่บริษัทพร้อมด้านเทคโนโลยีเติบโต ขณะที่ SME ที่มีภาระหนี้สูงหดตัว

เมกะเทรนด์ที่เจ็ดคือ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและแรงกดดันด้านสภาพภูมิอากาศ ไทยตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และ Net Zero ภายในปี 2608 พร้อมเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนจากร้อยละ 17 เป็นร้อยละ 30 ภายในปี 2580 

เมกะเทรนด์ที่แปดคือ ความท้าทายด้านแรงงานและทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการ อัตราการเจริญพันธุ์ของไทยลดลงเหลือเพียง 1.21 ต่ำกว่าระดับทดแทนมาก ประชากรวัยทำงานกำลังหดตัว ขณะที่ความทักษะดิจิทัลเพิ่มสูงขึ้น หากระบบการฝึกอบรมตามไม่ทัน ก็ยากที่จะดึงดูดการลงทุนคุณภาพสูงเข้ามาในประเทศได้

เมกะเทรนด์ที่เก้าคือ การกระจายความเสี่ยงทางการค้าและคุณภาพของการลงทุนจากต่างประเทศ ไทยลงนาม FTA กับ EFTA ในเดือนมกราคม 2568 ซึ่งเป็น FTA ฉบับแรกกับยุโรป และตั้งเป้าสรุป FTA กับสหภาพยุโรปภายในปีนี้ คำถามสำคัญสำหรับปี 2569 ไม่ใช่แค่ FDI จะมีเท่าไหร่ แต่เป็น FDI ประเภทไหน การวิจัยและพัฒนา การยกระดับแรงงาน และการสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศคือตัวชี้วัดที่สำคัญกว่ามูลค่าการลงทุนรวม

เมกะเทรนด์สุดท้ายคือ เศรษฐกิจดิจิทัลและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค ผู้บริโภคไทยซื้อของออนไลน์มากขึ้น ใช้ระบบชำระเงินดิจิทัลอย่าง PromptPay และ e-wallet อย่างแพร่หลาย เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 6 ของ GDP ใหญ่เป็นอันดับสองในอาเซียน ภาคฟินเทคและซอฟต์แวร์สร้างงานได้เร็วที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา พฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ยังเปลี่ยนจากการเป็นเจ้าของไปสู่การเข้าถึงแบบ Subscription

เมกะเทรนด์ทั้ง 10 ประการนี้ล้วนแต่มีความเชื่อมโยงกัน สำหรับผู้ประกอบการและนักลงทุน การเข้าใจเมกะเทรนด์เหล่านี้จะช่วยวางแผนกลยุทธ์ได้แม่นยำขึ้น ปี 2569 จะเป็นปีแห่งความท้าทาย แต่สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมและปรับตัวได้ทันการณ์ ยังมีโอกาสมากมายรออยู่ในทุกวิกฤต