เปิดมุมมอง‘ธานี แสงรัตน์’ เอกอัครราชทูตฯ ณ กรุงโซล โอกาสไทย-เกาหลีใต้ ยกระดับร่วมมือเศรษฐกิจ

เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโซล ชี้โอกาสเศรษฐกิจ ไทย-เกาหลีใต้ ยังสามารถยกระดับได้อีกมาก แนะเร่งผลักดัน การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงระหว่างสองประเทศ
KEY
POINTS
- เอกอัครราชทูตฯ เสนอให้เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวเกาหลีกลุ่มใช้จ่ายสูง และโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก เพื่อขยายตลาดนอกเหนือจากกรุงเทพฯ พัทยา และเชียงใหม่
- ชี้ว่าไทยไม่ควรพึ่งพาการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวซึ่งมีความผันผวนสูง แต่ควรสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนโดยมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นของตนเอง
- เสนอให้ยกระดับความร่วมมือในภาคอุตสาหกรรมที่เกาหลีใต้มีความก้าวหน้าสูง เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
- เน้นย้ำการใช้ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์อันดีจากการที่ไทยเคยช่วยเหลือในสงครามเกาหลี มาต่อยอดสร้างความร่วมมือในด้านอื่นๆ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นในอนาคต
กรุงโซล, ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างการแถลงข่าว การบริหารจัดการจราจรทางอากาศ ของ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) นายธานี แสงรัตน์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่าสถานทูตไทย ณ กรุงโซล ปัจจุบันมีภารกิจในการดูแลคนไทยเกือบ 200,000 คน โดยตัวเลขการบริการถือเป็นอันดับสองของโลก ส่วนในด้านเศรษฐกิจ เกาหลีใต้เป็นตลาดนักท่องเที่ยวที่สำคัญอันดับที่ 34 ของไทย
เอกอัครราชทูตเน้นย้ำว่า การเร่งส่งเสริมเศรษฐกิจไทยมีความจำเป็นเร่งด่วน โดยเฉพาะการผลักดันภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดและควรทำในช่วงฤดูหนาว (High Season) นี้โดยแนวทางที่ควรเร่งดำเนินการคือการจัดคณะ Influencer สื่อมวลชน ผู้นำความคิด และ Content Creator ของเกาหลีให้เดินทางเข้ามาเยี่ยมชมประเทศไทย และควรเน้นการนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่คนเกาหลียังไม่รู้จัก
“ปัจจุบันคนเกาหลีส่วนใหญ่รู้จักประเทศไทยเพียงแค่ กรุงเทพฯ, พัทยา, และเชียงใหม่ สำหรับการตีกอล์ฟแต่ไทยควรนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายขึ้น เช่น เขาสามวาฬ หรือ ถ้ำพญานาคในภาคอีสาน นอกจากนี้ควรเน้นกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยวที่ ใช้จ่ายสูง พำนักนาน และมีความน่าสนใจพิเศษ เนื่องจากคนเกาหลีชื่นชอบการเดินป่า (Hiking) ซึ่งเป็นจุดขายที่ไทยควรพัฒนาให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น”
นายธานีกล่าวเสริมว่าคนเกาหลีมีความสนใจในประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม เป็นอย่างมาก เมื่อจะเดินทางจะศึกษาข้อมูลค่อนข้างลงลึก ดังนั้นไทยจึงต้องนำเสนอประเทศในแง่มุมที่อาจจะซ่อนอยู่และคนเกาหลียังไม่รับรู้ให้มากยิ่งขึ้น
แนะเพิ่มความร่วมมือเศรษฐกิจสองประเทศ
นายธานีกล่าวต่อด้วยว่าความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและเกาหลีใต้ควรใช้ศักยภาพที่มีอยู่ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยแม้การท่องเที่ยวจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ภาคการท่องเที่ยวมีความเสี่ยงที่จะถูกกระทบง่ายจากหลายปัจจัย เช่น อัตราแลกเปลี่ยน สถานการณ์สงคราม หรือเหตุการณ์ทางสังคม ซึ่งอาจทำให้การเติบโตวูบวาบได้
ดังนั้นไทยควรพึ่งพาและเติบโตทางเศรษฐกิจในสาขาที่มีความยั่งยืนมากขึ้น โดยต้องมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นของตนเอง
โดยปัจจุบันเกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจ (GDP) ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของเอเชีย และมีความก้าวหน้าในแทบทุกด้าน
ศักยภาพที่ไทยสามารถเข้าไปสำรวจและร่วมมือคือในภาคส่วนที่เกาหลีก้าวหน้าอย่างมาก ได้แก่ ปัญญาประดิษฐ์ AI แบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศก้าวกระโดด
และที่น่าสนใจคืออุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ที่มีความก้าวหน้าและทันสมัยอย่างมาก โดยความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเกาหลีว่าได้พัฒนาไปถึงขั้นที่สามารถสร้างเรือดำน้ำนิวเคลียร์ให้กับสหรัฐฯ มีเครื่องบินไอพ่นที่เทียบเท่า F-35 มีรถถังที่ก้าวหน้า และมีการผลิตเครื่องบินฝึก T-50 โดยบริษัท Hanwha Ocean รวมทั้งยังเป็นผู้ต่อเรือหลวงภูมิพล ซึ่งเป็นเรือรบที่ก้าวหน้าที่สุดของกองทัพเรือไทย
นายธานียังย้ำถึงความสำคัญของสายสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ โดยคนเกาหลีมีความรู้สึกขอบคุณประเทศไทยอย่างมาก เพราะไทยเป็นประเทศเอเชียประเทศแรกที่ตอบรับมติสหประชาชาติในปี 1950 และส่งทหารเข้าร่วมปกป้องเกาหลีใต้ในสงครามเกาหลี ไทยเป็นประเทศเอเชียประเทศเดียวที่ส่งกำลังพลเข้าร่วมทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ทหารไทยมีความกล้าหาญในการรบที่สำคัญ เช่น สมรภูมิ Porkchop Hill จนได้รับฉายาจากนายพลอเมริกันว่าเป็น "พยัคฆ์น้อย" (Little Tiger)
"คนเกาหลีที่นี่ ผมไปที่ไหนเขาจะขอบคุณประเทศไทยเรื่องนี้เสมอ เป็นประเทศที่เรียกว่า most grateful nation ความประทับใจทางประวัติศาสตร์นี้ควรถูกนำมาต่อยอดเพื่อให้คนเกาหลีประทับใจประเทศไทยในเรื่องอื่นๆ และความร่วมมือร่วมกันต่อไปในอนาคต" นายธานีกล่าว







