ส.อ.ท. กาง 3 ข้อดีลดดอกเบี้ย วอนแบงก์ปล่อยกู้ เติมสภาพคล่อง SME

"ส.อ.ท." ชี้ 3 ข้อดีการลดดอกเบี้ยของ กนง. 0.25% หวังช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการ-ดันค่าบาทอ่อน ช่วย "ต่อลมหายใจ" แต่ต้องมาพร้อม "การปล่อยสินเชื่อ" จากธนาคาร ย้ำชัด ปล่อยดอกเบี้ยต่ำจะไร้ความหมาย หากไม่มีการปล่อยเงินกู้
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า การลดดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในครั้งนี้ลง 0.25% อย่างน้อยที่สุดจะช่วยส่งผลดีในด้านต่าง ๆ ต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการ ดังนี้
1. ลดต้นทุนทางการเงินโดยตรงของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดคือการลดต้นทุนทางด้านการเงิน ที่ทำให้ดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้กู้ SME ต้องจ่าย ลดลงตามไปด้วย ช่วยให้ผู้กู้มีภาระเบาลง
2. ส่งผลทางจิตวิทยาให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากในช่วงเวลานั้นค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึงกว่า 8.1% ในขณะที่ประเทศคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ยังมีค่าเงินที่อ่อนค่าอยู่ที่กว่า 3-3% การลดดอกเบี้ยจึงถูกมองว่าเป็นกลไกหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัวได้ นอกจากนี้ การลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ยังถือว่าตรงกับแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้คาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ซึ่งส่งผลต่อจิตวิทยาตลาดด้วย
3. เป็นการส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน การตัดสินใจดังกล่าวเป็นการสะท้อนว่าภาครัฐต้องการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ภาคเอกชนคาดว่ามาตรการนี้จะส่งผลดีในระยะสั้น เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยลบหลายประการ เช่น ปัญหาอุทกภัยใน 9 จังหวัดภาคใต้ และผลกระทบจากการปะทะกับกัมพูชา ซึ่งทำให้กิจกรรมทางธุรกิจในหลายภาคส่วน เช่น ภาคการเกษตร ภาคโรงเรียน โรงพยาบาล และนิคมอุตสาหกรรม ต้องหยุดชะงัก รวมถึงผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่นปลายปี
ทั้งนี้ แม้ว่าภาคเอกชนจะคาดหวังและมองเห็นผลดีจากการลดดอกเบี้ย แต่ก็ยังมีความกังวลว่าธนาคารพาณิชย์อาจจะยังไม่ปล่อยสินเชื่อให้กับ SME ภาคเอกชนจึงเรียกร้องขอความร่วมมือจากภาคธนาคารในการช่วยปล่อยสินเชื่อ
"การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็เปรียบเสมือนการให้ออกซิเจนเสริมแก่ปอดของเศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแอ ช่วยให้การหมุนเวียนของกระแสเงินสดดีขึ้นและลดแรงกดดันทางด้านต้นทุน เพื่อให้ธุรกิจสามารถหายใจและเดินหน้าต่อไปได้"
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวกับ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า การตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ถือเป็นการดำเนินการที่สำคัญในการช่วยเหลือภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจ SME
นายนาวา กล่าวว่า นโยบายลดดอกเบี้ยนี้ สืบเนื่องมาจากที่นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานส.อ.ท. ได้หารือร่วมกับนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่ออยากให้ออกมาตรการและดูแลกลุ่มผู้ประกอบการโดบเฉพาะมาตรการปล่อยสินเชื่อและการช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานและเป็นการต่อลมหายใจให้กับธุรกิจได้
"ความช่วยเหลือดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับ SME เนื่องจากในปัจจุบัน SME จำนวนมากกำลังประสบปัญหาการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงและมีสายป่านที่สั้น" นายนาวา กล่าว
ทั้งนี้ นายนาวา ได้เน้นย้ำถึงประเด็นสำคัญที่ว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียวจะยังไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูธุรกิจ แต่กุญแจสำคัญคือการที่สถาบันการเงินทั้งรัฐและเอกชนจะต้องมีความกล้าหาญที่จะให้วงเงินหรือปล่อยสินเชื่อการปล่อยกู้แก่ผู้ประกอบการอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ หาก กนง. มีนโยบายลดดอกเบี้ยลง แต่ธนาคารพาณิชย์ยังคงเข้มงวดและไม่ยอมปล่อยสินเชื่อ นโยบายนั้นก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย เหมือนกับการที่เราเห็นว่าราคาอาหารถูกลง แต่ไม่มีใครขายให้ลูกค้า หากธุรกิจถูกมองว่าไม่น่าเชื่อถือหรือธนาคารหุบร่มใส่ ภาคเอกชนก็ไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากดอกเบี้ยที่ลดลง
นายนาวา เปิดเผยว่า ภาคเอกชนหลายรายมักจะบ่นว่าธนาคารมักจะ "หุบร่ม" หรือถอนการสนับสนุนในเวลาที่ลูกค้ากำลังเผชิญกับวิกฤติหนัก หรือ "เจอฝน เจอพายุ หนัก" ดังนั้น ภาคเอกชนจึงคาดหวังว่าการลดดอกเบี้ยของ กนง. ในครั้งนี้ จะต้องตามมาด้วยการที่ธนาคารพาณิชย์ ทั้งภาครัฐและเอกชน มีความกล้าหาญที่จะให้โอกาสและปล่อยสินเชื่อ การดำเนินการเช่นนี้เท่านั้นที่จะช่วยกางร่มสู้พายุสู้ฝนให้กับธุรกิจได้อย่างแท้จริง
"ประเด็นดังกล่าวได้มีการเน้นย้ำไปในการหารือกับนายเอกนิติ และท่านผู้ว่าธปท. ในโอกาสที่มาเยือนส.อ.ท. ต้องขอบคุณที่ทั้ง 2 ท่านเห็นความสำคัญของภาคธุรกิจ จึงอยากเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์แสดงความรับผิดชอบโดยการ "ร่วมทุกข์ร่วมสุข" กับลูกค้า และให้โอกาสพวกเขาในการอยู่รอดได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน และภาคเอกชนกำลังติดตามดู "แอคชั่น" ของธนาคารพาณิชย์ว่าจะมีการปล่อยกู้มากน้อยแค่ไหนตามมาหลังจากนโยบายลดดอกเบี้ย"







