10 คำทำนายภาคธุรกิจโลกในปี 2026 | Global Vision

10 คำทำนายภาคธุรกิจโลกในปี 2026 | Global Vision

ในปี 2026 การคาดการณ์ทิศทางภาคธุรกิจโลกและไทย ท่ามกลางบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากนโยบายกีดกันทางการค้า การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ และการปฏิวัติทางเทคโนโลยี เป็นความท้าทายยิ่ง

บทความนี้ขอนำเสนอการวิเคราะห์ 10 ประเด็นสำคัญจากนิตยสาร The Economist พร้อมผลกระทบต่อไทยผ่านมุมมองผู้เขียน ดังนี้

1.ดอกเบี้ยและกฎระเบียบทางการเงินจะไปคนละทิศ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และอังกฤษ (Bank of England) รวมถึงธนาคารแห่งาประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจะปรับลดดอกเบี้ยในปี 2026 แต่บางประเทศ เช่น ญี่ปุ่นจะขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง (0.5%) ส่วนธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงนิวซีแลนด์และแคนาดาหยุดลดแล้ว 

แต่กฎเกณฑ์การกำกับดูแลทางการเงินในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันมากขึ้น โดยสหรัฐกำลังผ่อนปรนมาตรฐาน Basel III ขณะที่สวิตเซอร์แลนด์เข้มงวดขึ้นอย่างมากหลังวิกฤติ Credit Suisse ในส่วนของไทย ดอกเบี้ยที่ลดลงท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง จะทำให้ธนาคารยังคงเข้มงวดในมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อ ทำให้สินเชื่ออาจยังไม่ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน

2.สงครามการค้าถ่วงเศรษฐกิจ นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐจะทำให้การค้าโลกขยายตัวน้อยกว่า 2% อุตสาหกรรมรถยนต์ โลหะ การขนส่งทางเรือและยา ต้องปรับตัวรับมือกับภาษีนำเข้าและอุปสรรคทางการค้าที่เพิ่มขึ้น

ในส่วนของไทย ประเด็น Transshipment ที่อาจถูกภาษีสหรัฐถึง 40% เป็นความเสี่ยงใหญ่ แต่ในทางกลับกัน การปรับ supply chain ของบริษัทข้ามชาติอาจเป็นโอกาสให้ไทยดึงดูด FDI เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการหลีกเลี่ยงภาษีจีน

3.จีนขับเคลื่อนตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกจะพุ่งขึ้น 15% แตะ 24 ล้านคัน โดยจีนคิดเป็นมากกว่าครึ่งของตลาดโลก ในขณะที่สหรัฐยกเลิกสิทธิประโยชน์และเป้าหมายการปล่อยมลพิษ ทำให้ยอดขาย EV เติบโตเพียง 2% ในส่วนของไทยต้องเร่งพัฒนาอุตสาหกรรม EV ให้เป็นฐานการผลิตสำหรับภูมิภาค ผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยต้องปรับตัวสู่ยุค EV อย่างรวดเร็ว มิฉะนั้นจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน

4.กีฬาโลกหนุนเศรษฐกิจ ฟุตบอลโลกที่อเมริกาเหนือและกีฬาระดับโลกอื่นๆ จะผลักดันค่าใช้จ่ายด้านกีฬาสู่ระดับ 450,000 ล้านดอลลาร์ รายได้จากโฆษณาเติบโต 6% และเพิ่มมูลค่าการท่องเที่ยวอีก 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ในส่วนของไทยอาจได้ประโยชน์บ้างจากการเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ ขณะที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวกีฬาและ sports marketing มีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะการเป็นฐานการฝึกซ้อมและการจัดทัวร์ดูกีฬาสำหรับนักท่องเที่ยวในภูมิภาค

5.เทคโนโลยีสะอาดหนุนราคาโลหะ ราคาโลหะจะพุ่งขึ้น 7% ในปี 2026 โดยนิกเกิลจะแพงขึ้น 13% จากความต้องการแบตเตอรี่และอุปทานที่จำกัด อินโดนีเซียจะห้ามส่งออกและเปิดตลาดซื้อขายนิกเกิล ราคาทองแดง ตะกั่ว และสังกะสีจะพุ่งขึ้นจากความต้องการของอุตสาหกรรมพลังงานสะอาด ในขณะเดียวกัน การผลิตเหล็กกล้า “สีเขียว” ที่นำเศษเหล็กมารีไซเคิลจะเติบโตขึ้น EU และอินเดียสนับสนุนการรีไซเคิล 

ในส่วนของไทยควรเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปโลหะและการรีไซเคิลเพื่อรองรับเทรนด์เศรษฐกิจสีเขียว ราคาโลหะที่สูงขึ้นอาจเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แต่เป็นต้นทุนสำหรับอุตสาหกรรมผลิต

6.งบกลาโหมพุ่งสถิติใหม่ ทะลุ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยสมาชิก NATO ตั้งเป้าใช้จ่าย 5% ของ GDP ภายในปี 2035 หลังแรงกดดันจากภัยคุกคามรัสเซีย-จีนและคำเรียกร้องของโดนัลด์ ทรัมป์ เยอรมนีตั้งกองทุนป้องกันประเทศพิเศษ 100,000 ล้านยูโร สหรัฐจะใช้จ่ายเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ครั้งแรก ในส่วนของไทย งบกลาโหมอาจต้องเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามในภูมิภาค โดยเฉพาะสถานการณ์สงครามไทย-กัมพูชา

7.สาธารณสุขขาดงบ แต่ยาลดความอ้วนบูม แม้การใช้จ่ายด้านสุขภาพโลกจะเพิ่มขึ้น 5% เป็นเกือบ 12 ล้านล้านดอลลาร์ แต่รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการป้องกันประเทศและลดหนี้มากกว่า ขณะที่ประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่คนอายุเกิน 65 ปีจะทะลุ 30% ของประชากร สหรัฐตัดงบ Medicaid ทำให้โรงพยาบาลสูญเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์ ยอดขายยาจะพุ่ง 5% เป็น 1.6 ล้านล้าน โดดเด่นด้วยยาลดน้ำหนักรูปแบบเม็ด 

ในส่วนของไทย การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยอาจได้ประโยชน์จากช่องว่างนี้ โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐที่ต้นทุนการรักษาสูงขึ้น ขณะที่อุตสาหกรรมยาไทยควรเร่งพัฒนาความสามารถในการผลิตยาชีววัตถุและยาลดความอ้วน

8.ผู้บริโภคประหยัดมากขึ้น ยอดขายปลีกโตเพียง 2% จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง ท่ามกลางความไม่แน่นอนทั่วโลก ตลาดที่มีแนวโน้มดีคือประเทศที่พึ่งพาการค้าน้อย อินเดียและฟิลิปปินส์จะโต 5-7% จากประชากรหนุ่มสาว สงครามการค้าบังคับให้ผู้ผลิตปรับซัพพลายเชน กฎ e-commerce ใหม่ในหลายประเทศจะเข้มงวดขึ้น 

ในส่วนของไทย การใช้จ่ายภายในประเทศอาจชะลอตามเทรนด์โลก โดยเฉพาะท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ ธุรกิจค้าปลีกไทยต้องปรับกลยุทธ์เน้นสินค้าคุณภาพดีราคาสมเหตุสมผล

9.ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานหมุนเวียนครอง 30% ของการผลิตไฟฟ้าโลก แซงหน้าสัดส่วนของถ่านหินเป็นครั้งแรก จีนเพิ่มกำลังผลิตพลังงานลมและแสงอาทิตย์กว่า 300 กิกะวัตต์ และการปล่อยมลพิษจากถ่านหินเริ่มลดลง แต่อินเดียจะยังเพิ่มการใช้ถ่านหิน 

ขณะที่ data center สำหรับ AI ทำให้ความต้องการไฟฟ้าโลกพุ่ง 3% ฝรั่งเศสและญี่ปุ่นฟื้นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จีนเริ่มก่อสร้างใหม่ ส่วนไทย ควรเร่งพัฒนาพลังงานหมุนเวียนให้ได้ตามเป้าหมาย ขณะที่ความต้องการไฟฟ้าจาก data center ที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นโอกาสสำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Smart Grid

10. AI แพร่หลายแต่ทำกำไรยาก 80% ของบริษัททั่วโลกได้ทดลองใช้ generative AI แล้ว เพิ่มจากน้อยกว่า 5% ในปี 2023 แต่หลายบริษัทยังดิ้นรนหากำไรจากเทคโนโลยีนี้ เพราะต้องปรับคนและกระบวนการทำงาน อินเดียต้องการแรงงานที่ผ่านการฝึก AI ถึง 1 ล้านคน TSMC เร่งเปิดโรงงานชิปที่สหรัฐและเริ่มผลิตชิป 2 นาโนเมตรที่ไต้หวัน กฎ AI Act ของ EU มีผลบังคับเต็มรูปแบบ แต่หน่วยงานกำกับดูแลยังตามเทคโนโลยีไม่ทัน 

ส่วนไทยต้องเร่งพัฒนากำลังคนด้าน AI และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการใช้งาน AI ในภาคธุรกิจ มิฉะนั้นจะล้าหลังเพื่อนบ้านในภูมิภาค โดยเฉพาะสิงคโปร์ที่ลงทุนอย่างจริงจัง

เหล่านี้คือ 10 แนวโน้มของธุรกิจโลกในปี 2026 การปรับตัวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของไทยในด้านที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ต้นทุนแรงงานที่เหมาะสม และโครงสร้างพื้นฐานที่ดี จะเป็นกุญแจสำคัญในการผ่านพ้นความท้าทายและคว้าโอกาสในปีม้าไฟนี้

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่