กรมศุลกากร ผนึก 5 หน่วยงาน เชื่อมข้อมูลถิ่นกำเนิดสินค้า ยกระดับ

กรมศุลกากร ผนึก 5 หน่วยงาน เชื่อมข้อมูลถิ่นกำเนิดสินค้า ยกระดับ

กรมศุลกากร ผนึก 5 พันธมิตร เชื่อมข้อมูลถิ่นกำเนิดสินค้า “ATIGA e-Form D” ดันแพลตฟอร์ม THAI NSW สู่ศูนย์กลางข้อมูล หวังลดขั้นตอนเอกสาร ยกระดับโลจิสติกส์ไทยสู่ยุค Paperless เต็มตัว

วันที่ 16 ธ.ค. 2568 นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (ATIGA e-Form D) ว่า ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการบูรณาการร่วมกันระหว่าง กรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ กรมการค้าภายใน กรมประมง กรมปศุสัตว์ และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) เพื่อยกระดับแพลตฟอร์มกลาง Thailand National Single Window (THAI NSW) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

นายพันธ์ทอง ระบุว่า กรมศุลกากรเร่งบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกทางการค้าและลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ

ทั้งนี้ สาระสำคัญของความร่วมมือครั้งนี้ คือการพัฒนาให้ THAI NSW เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนและใช้ประโยชน์จากข้อมูล ATIGA e-Form D ซึ่งปัจจุบันประเทศสมาชิกอาเซียนมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลดังกล่าวในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ครบ 100% แล้วตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ที่ผ่านมา

“จากสถิติการนำเข้าสินค้าจากประเทศสมาชิกอาเซียน พบว่ามีปริมาณใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form D) ขาเข้า สูงถึงประมาณ 240,000 ใบต่อปี การเชื่อมโยงข้อมูลนี้จะช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องวิ่งรถนำกระดาษไปยื่นตามหน่วยงานต่างๆ ช่วยลดต้นทุนและเวลาในการดำเนินพิธีการได้อย่างมหาศาล”

โดยหน่วยงานพันธมิตรทั้ง 6 หน่วยงาน จะสามารถดึงข้อมูล e-Form D ที่ได้รับจากประเทศต้นทาง มาใช้ประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตหรือใบรับรองตามภารกิจของแต่ละหน่วยงานได้ทันทีผ่านระบบ THAI NSW โดยไม่ต้องเรียกขอเอกสารกระดาษซ้ำซ้อน ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและขั้นตอนในการดำเนินพิธีการศุลกากรและการขออนุญาตนำเข้า-ส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบัน กรมศุลกากรได้ดำเนินการเชื่อมโยงข้อมูลการออกใบอนุญาตผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์กับหน่วยงานภาครัฐไปแล้ว 23 หน่วยงาน จากทั้งหมด 36 หน่วยงานที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาต ซึ่งครอบคลุมสินค้าควบคุมส่วนใหญ่ของประเทศ

โดยระบบสามารถรองรับการตรวจสอบและเชื่อมโยงข้อมูลครอบคลุมพิกัดศุลกากรสินค้าครบทุกรายการที่มีอยู่กว่า 9,400 พิกัดสินค้า ทำให้การตรวจสอบความถูกต้องของถิ่นกำเนิดสินค้าทำได้อย่างทั่วถึง

“การบูรณาการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับระบบโลจิสติกส์ของไทยสู่มาตรฐานสากล และเป็นการปูทางสู่การค้าแบบไร้กระดาษ (Paperless) โดยสมบูรณ์ ซึ่งจะช่วยผู้ประกอบการประหยัดเวลาและต้นทุน รองรับปริมาณการค้าระหว่างประเทศที่เติบโตขึ้นต่อเนื่อง” อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวทิ้งท้าย