‘สุญญากาศ’ เบรกนโยบายใหม่ ‘คลัง’ ลุ้นไตรมาส 4 โตเกิน 1%

“เอกนิติ” ยอมรับสุญญากาศการเมือง เบรกนโยบายใหม่ ยันเศรษฐกิจไม่สะดุด เหตุวางรากฐานรองรับยุบสภาไว้แล้ว คาดจีดีพีปี 68 โตเกิน 2% ลุ้น กกต.ไฟเขียว คนละครึ่งพลัส เฟส 2 “คมนาคม” เผยซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าสะดุด แก้สัญญาไฮสปีดเทรน 3 สนามบิน ไร้ข้อสรุป รถไฟทางคู่เฟส 2 รอรัฐบาลใหม่อนุมัติ
การประกาศยุบสภาฯ ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2568 มีผลต่อโครงการที่รัฐบาลเตรียมดำเนินการ เพราะรัฐบาลรักษาการไม่สามารถอนุมัติได้ โดยเฉพาะโครงการของกระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคมที่เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การบริหารงานเศรษฐกิจในช่วงรอยต่อทางการเมืองหรือช่วงสุญญากาศภายหลังการยุบสภา ยอมรับว่าในช่วงเวลานี้ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถดำเนินนโยบายใหม่ได้เลย ทำได้เพียงขับเคลื่อนนโยบายเดิมที่ได้รับการอนุมัติไว้แล้วเท่านั้น
นายเอกนิติ กล่าวว่า ผลกระทบจากช่วงสุญญากาศทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ต้องชะลอตัว อาทิ โครงการ คนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ซึ่งแม้จะเตรียมการไว้แล้ว แต่ต้องรอดูข้อกฎหมายหรือการพิจารณาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ รวมถึงการแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่ไม่สามารถทำได้ในขณะนี้
“สิ่งที่น่าเสียดายคือ ความต่อเนื่องของนโยบายใหม่บางส่วนที่ไม่สามารถดำเนินการได้ในช่วงนี้ ทั้งโครงการกระตุ้นการออม ผ่านบัญชีการออมส่วนบุคคล TISA” นายเอกนิติ กล่าว
นอกจากนี้ ในด้านการเจรจาระหว่างประเทศ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา แม้จะได้ข้อสรุปแล้ว แต่รัฐบาลรักษาการก็ไม่สามารถลงนามในข้อตกลงใดๆ ได้
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากทีมเศรษฐกิจได้คาดการณ์สถานการณ์ยุบสภาไว้ล่วงหน้า และเร่งผลักดันนโยบายสำคัญจนเสร็จสิ้นก่อนเข้าสู่ช่วงสุญญากาศ โดยมีมาตรการที่ขับเคลื่อนต่อได้ทันที ได้แก่
1.มาตรการแก้หนี้โครงการแก้หนี้ระยะที่ 1 สำหรับผู้มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท จำนวน 2 ล้านคน วงเงินรวมกว่า 6.6 แสนล้านบาท ได้รับการอนุมัติแล้ว และจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 ทันที ส่วนระยะที่ 2 ที่จะขยายกลุ่มเป้าหมายเป็น 3.4 ล้านราย อาจจะต้องรอรัฐบาลใหม่
2.การลงทุนโครงการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทั้งโครงการเดิมวงเงิน 4.7 แสนล้านบาท และโครงการใหม่ผ่าน Thailand FastPass อีก 1.7 แสนล้านบาท สามารถเดินหน้าต่อได้เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่าน
3.การช่วยเหลือ SME วงเงินสินเชื่อซอฟต์โลน และการค้ำประกันรวมกว่า 267,000 ล้านบาท จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปีหน้า ซึ่งโครงการดังกล่าว รวมถึงการคืนภาษีให้ผู้ประกอบการ ซึ่งกระทรวงการคลังได้คืนภาษีให้เอสเอ็มอี ไปแล้วกว่า 60,000 ล้านบาท ภายในเดือนธ.ค.2568
4.การออมการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ ที่จะเปิดให้ประชาชนสามารถซื้อได้ทุกเดือน วงเงินเดือนละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มทันทีในเดือนม.ค.2569
นายเอกนิติ กล่าวว่า การที่รัฐบาลได้วางรากฐานนโยบายต่างๆ ไว้ ทั้งการเพิ่มทักษะอาชีพ การแก้หนี้ และการรักษาวินัยการคลัง จนสถาบันจัดอันดับเครดิตอย่าง S&P คงมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ระดับ Stable Outlook
"ด้วยนโยบายที่รัฐบาลได้ดำเนินการมา เชื่อว่า GDP ไตรมาส 4 ปีนี้จะโตได้ไม่ต่ำกว่า 1% และจะส่งผลให้ภาพรวม GDP ตลอดทั้งปีเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 2% โดยได้รับแรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้น และการกระจายตัวของเม็ดเงินจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ" นายเอกนิติ กล่าว
พันธบัตรออมพลัสเดินหน้าต่อ
นางจินดารัตน์ วิริยะทวีกุล ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า โครงการพันธบัตรออมพลัส เป็นหนึ่งในโครงการที่ดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากเป็นไปตามแผนบริหารหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2569 ที่มีการอนุมัติไปแล้วในประชุม ครม.
ทั้งนี้ สบน.ได้พัฒนาพันธบัตรรูปแบบใหม่ จากเดิมที่เปิดขายเป็นรอบมาเป็นการเปิดขายทุกเดือน ตั้งแต่ ม.ค.- ธ.ค.2569 โดยตั้งวงเงินไว้อย่างน้อยเดือนละ 1,000 ล้านบาท เพื่อให้ประชาชนออมได้สม่ำเสมอ ผ่านช่องทางหลากหลาย รวมถึงระบบ Bond Connect ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา
โดยพันธบัตรออมพลัส จะขายขั้นต่ำเริ่มต้น 1,000 บาท และไม่มีขั้นสูง จัดสรรแบบ Small Lot First ให้ผู้จองซื้อทุกรายมีสิทธิได้รับพันธบัตร ส่วนอัตราดอกเบี้ย และเงื่อนไขจะมีการประกาศรายละเอียดอีกครั้งในช่วงเดือนม.ค.2569
ซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าสะดุด
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า การประกาศยุบสภามีผลต่อนโยบายสำคัญที่กำลังเตรียมเสนอ ครม.อนุมัติซื้อคืนสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าจากภาคเอกชน เพื่อให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เป็นเจ้าของเดียว (Single Ownership) ไม่สามารถดำเนินการได้ และคงต้องรอรัฐบาลใหม่พิจารณา
เช่นเดียวกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ปัจจุบันยังติดปัญหา และรอเสนอ ครม.อนุมัติ อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) เชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา)
ทั้งนี้คณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2568 มีมติให้เสนอทบทวนมติ ครม.เกี่ยวกับโครงการไฮสปีดเชื่อมสามสนามบิน โดยเสนอ ครม.เพื่อพิจารณาแก้ไขสัญญาร่วมทุน 2 ประเด็น ได้แก่ 1.การแบ่งจ่ายค่าสิทธิแอร์พอร์ตเรลลิงก์ และ 2.การจ่ายเงินสนับสนุนจากภาครัฐปรับเป็นสร้างไปจ่ายไป
โดยการพิจารณาแก้สัญญาโครงการไฮสปีดเทรนเชื่อมสามสนามบินนั้น ผ่านบอร์ด รฟท.แล้ว และขั้นตอนต่อไปเตรียมเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) แต่เนื่องด้วยเป็นประเด็นที่มีผลผูกพัน ดังนั้นรัฐบาลรักษาการจึงไม่สามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ และเป็นผลทำให้โครงการไฮสปีดเทรนสายนี้จะต้องหยุดชะงักเพื่อรอรัฐบาลใหม่พิจารณา
รวมถึงโครงการพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก ปัจจุบันออกหนังสือเริ่มงานก่อสร้าง (NTP) ไม่ได้เพราะในเงื่อนไขสัญญากำหนดไว้ว่าต้องมีข้อตกลงเรื่องจุดร่วมกับโครงการไฮสปีดเทรน แต่โครงการไฮสปีดเทรนยังไม่ชัดเจน ทำให้โครงการท่าอากาศยานอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออกยังไม่สามารถเริ่มตอกเสาเข็มก่อสร้างได้
รถไฟทางคู่เฟส 2 รอรัฐบาลใหม่อนุมัติ
นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า เมื่อมีการยุบสภาทำให้โครงการที่อยู่ระหว่างเสนอ ครม.ต้องรอให้รัฐบาลใหม่เป็นผู้พิจารณา ซึ่ง รฟท.มีโครงการลงทุนสำคัญต้องรอรัฐบาลใหม่ คือ โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ระยะที่ 2 จำนวน 6 เส้นทาง วงเงินรวม 297,924 ล้านบาท ประกอบด้วย
1.ช่วงชุมพร-สุราษฎร์ธานี ระยะทาง 168 กิโลเมตร วงเงิน 30,422 ล้านบาท
2.ช่วงสุราษฎร์ธานี-ชุมทางหาดใหญ่-สงขลา ระยะทาง 321 กิโลเมตร วงเงิน 66,270 ล้านบาท
3.ช่วงชุมทางหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ระยะทาง 45 กิโลเมตร วงเงิน 7,772 ล้านบาท
4.ช่วงปากน้ำโพ-เด่นชัย ระยะทาง 281 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 81,143 ล้านบาท
5.ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ระยะทาง 308 กิโลเมตร วงเงิน 44,095 ล้านบาท
6.ช่วงเด่นชัย-เชียงใหม่ ระยะทาง 189 กิโลเมตร วงเงิน 68,222 ล้านบาท
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์












