แรงกระเพื่อมราคาน้ำมัน ท่ามกลางเกมภูมิรัฐศาสตร์ 'อุปทานล้นตลาด'

แรงกระเพื่อมราคาน้ำมัน ท่ามกลางเกมภูมิรัฐศาสตร์ 'อุปทานล้นตลาด'

สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบช่วงปลายปี ต้องเผชิญกับแรงกดดันหลายด้าน ทั้งภาวะอุปทานล้นตลาด จากการเพิ่มโควตาผลิตน้ำมันของ OPEC+ รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

สถานการณ์ ราคาน้ำมันดิบ ตลาดโลก ในเดือนพฤศจิกายน 2568 ราคาน้ำมันดิบ Brent เคลื่อนไหวในกรอบ 62-65 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ WTI อยู่ที่ 58-61 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยแนวโน้ม ราคาน้ำมัน ในช่วงเดือนธันวาคม 2568 ถึงมกราคม 2569 จะเคลื่อนไหวในกรอบ 60-65 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ท่ามกลางความไม่แน่นอนของ เศรษฐกิจโลก

ปัจจัยสำคัญมาจากการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยกลุ่ม OPEC+ ยังมีมติเพิ่มโควตาการผลิตน้ำมันดิบอีก 137,000 บาร์เรลต่อวัน ในเดือนธันวาคม แต่ไม่เพิ่มการผลิตในไตรมาส 1 ปี 2569 ทำให้ตั้งแต่เดือนเมษายน -ธันวาคม 2568 การเพิ่มกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 2.9 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่ Non-OPEC+ โดยเฉพาะบราซิล แคนาดา และกายอานา ขยายกำลังผลิตต่อเนื่องทำให้ปริมาณน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นมากกว่าความต้องการ

รวมถึงมาตรการ คว่ำบาตร รัสเซีย จากสหรัฐและสหภาพยุโรป ประกาศคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรัสเซียรายใหญ่อย่าง Rosneft (รอส-เนฟต์) และ Lukoil (ลูคอยล์) ตั้งแต่วันที่ 21 พฤศจิกายน 2568 กระทบอินเดียที่นำเข้าน้ำมันจาก 2 บริษัทนี้ 

ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรปออกมาตรการ คว่ำบาตร ชุดที่ 19 เพิ่มข้อจำกัดการค้าบริษัทจีนและอินเดีย พร้อมขึ้นบัญชีดำเรือบรรทุกน้ำมันกว่า 100 ลำ ที่เกี่ยวข้องการค้าพลังงานของรัสเซีย ปัจจัยทั้งหมดทำให้ ราคาน้ำมัน ผันผวน ส่วนปัจจัยสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อ โดยยูเครนเพิ่มความถี่โจมตีโครงสร้างพื้นฐานพลังงานรัสเซีย เช่น คลังน้ำมัน ขณะที่รัสเซียโจมตีทางใต้ยูเครนด้วยขีปนาวุธและโดรน ทำให้มีความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน อาคารที่พักอาศัยและท่าเรือ 

แม้สหรัฐเสนอแผนสันติภาพ 28 ข้อ แต่ไม่มีข้อยุติชัดเจน และหากยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจะทำให้รัสเซียส่งออกน้ำมันเพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมัน นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นที่มีผลกระทบ คือ ผลกระทบสงครามการค้าที่ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอ รวมถึงความกังวลต่อนโยบายทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ