“เอกนิติ’ รับสุญญากาศการเมือง เบรกนโยบายใหม่ ยันเศรษฐกิจไม่สะดุด

“เอกนิติ” ยอมรับสุญญากาศการเมือง เบรกนโยบายใหม่ ยันเศรษฐกิจไม่สะดุด เหตุวางรากฐานรองรับยุบสภาไว้แล้ว ลุ้นกกต.ไฟเขียว คนละครึ่งพลัส เฟส 2
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การบริหารงานเศรษฐกิจในช่วงรอยต่อทางการเมืองหรือช่วงสุญญากาศภายหลังการยุบสภา ยอมรับว่าในช่วงเวลานี้ รัฐบาลรักษาการไม่สามารถดำเนินนโยบายใหม่ได้เลย ทำได้เพียงขับเคลื่อนนโยบายเดิมที่ได้รับการอนุมัติไว้แล้วเท่านั้น
นายเอกนิติ ระบุว่า ผลกระทบจากช่วงสุญญากาศทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ ต้องชะลอตัว อาทิ โครงการ คนละครึ่ง พลัส เฟส 2 ซึ่งแม้จะเตรียมการไว้แล้ว แต่ต้องรอดูข้อกฎหมายหรือการพิจารณาจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ รวมถึงการแก้ไขกฎหมายต่างๆ ที่ไม่สามารถทำได้ในขณะนี้
“สิ่งที่น่าเสียดายคือความต่อเนื่องของนโยบายใหม่บางส่วนที่ไม่สามารถดำเนินการได้ในช่วงนี้ ทั้งโครงการกระตุ้นการออม ผ่านบัญชีการออมส่วนบุคคล TISA”
นอกจากนี้ ในด้านการเจรจาระหว่างประเทศ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา แม้จะได้ข้อสรุปแล้ว แต่รัฐบาลรักษาการก็ไม่สามารถลงนามในข้อตกลงใดๆ ได้
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากทีมเศรษฐกิจได้คาดการณ์สถานการณ์ยุบสภาไว้ล่วงหน้าและเร่งผลักดันนโยบายสำคัญจนเสร็จสิ้นก่อนเข้าสู่ช่วงสุญญากาศ โดยมีมาตรการที่ขับเคลื่อนต่อได้ทันที ได้แก่
1.มาตรการแก้หนี้ โครงการแก้หนี้ระยะที่ 1 สำหรับผู้มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท จำนวน 2 ล้านคน วงเงินรวมกว่า 6.6 แสนล้านบาท ได้รับการอนุมัติแล้วและจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 ทันที ส่วนระยะที่ 2 ที่จะขยายกลุ่มเป้าหมายเป็น 3.4 ล้านราย อาจจะต้องรอรัฐบาลใหม่
2.การลงทุน โครงการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ทั้งโครงการเดิมวงเงิน 4.7 แสนล้านบาท และโครงการใหม่ผ่าน Thailand FastPass อีก 1.7 แสนล้านบาท สามารถเดินหน้าต่อได้เพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจในช่วงเปลี่ยนผ่าน
3.การช่วยเหลือ SME วงเงินสินเชื่อซอฟต์โลนและการค้ำประกันรวมกว่า 267,000 ล้านบาท จะยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปีหน้า ซึ่งโครงการดังกล่าว รวมถึงการคืนภาษีให้ผู้ประกอบการ ซึ่งกระทรวงการคลังได้คืนภาษีให้เอสเอ็มอี ไปแล้วกว่า 60,000 ล้านบาท ภายในเดือนธ.ค.
4.การออม การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ ที่จะเปิดให้ประชาชนสามารถซื้อได้ทุกเดือน วงเงินเดือนละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มทันทีในเดือนม.ค.
นายเอกนิติ กล่าวทิ้งท้ายว่า การที่รัฐบาลได้วางรากฐานนโยบายต่างๆ ไว้ ทั้งการเพิ่มทักษะอาชีพ การแก้หนี้ และการรักษาวินัยการคลัง จนสถาบันจัดอันดับเครดิตอย่าง S&P คงมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยไว้ที่ระดับ "Stable Outlook" ทำให้เชื่อมั่นว่าแม้จะอยู่ในช่วงรอยต่อทางการเมือง แต่เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะยังคงเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 2% อย่างแน่นอน












