คนรุ่นใหม่นิยมดื่มกาแฟ ปัจจัยหนุนราคาพุ่ง 52% สศก. เล็งขยายพื้นที่ปลูก

สศก. หนุนเกษตรกร 1.2 หมื่นครัวเรือน ขยายพื้นที่ปลูกกาแฟ 1,000 ไร่รับมาตรฐานEUDRหลังดีมานด์กาแฟโลก10.16ล้านตัน ผลผลิตไทยแค่เศษเสี้ยว 16,534 ตัน
นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย ถึงสถานการณ์การผลิตกาแฟของไทยในปีเพาะปลูก2568/69(ข้อมูลพยากรณ์ ณ เดือนตุลาคม2568)ว่า มีเนื้อที่เก็บเกี่ยว183,842 ไร่ ลดลงจากปีที่ผ่านมาจำนวน 3,025 ไร่ หรือร้อยละ 1.62ผลผลิตต่อไร่90 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาจำนวน 4 กิโลกรัม หรือร้อยละ 4.65 และผลผลิตรวม16,534ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่มีจำนวน 514 ตัน หรือร้อยละ3.21
โดยปัจจัยหลักมาจากการดูแลรักษาที่ดีและสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้ปริมาณผลผลิตต่อไร่และคุณภาพเมล็ดกาแฟปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าพื้นที่ให้ผลผลิตภาพรวมจะลดลงเล็กน้อยก็ตาม โดยปัจจุบันแบ่งเป็นกาแฟพันธุ์อาราบิกา ร้อยละ67.46และพันธุ์โรบัสตา ร้อยละ32.54สำหรับแหล่งผลิตสำคัญ3ลำดับแรก ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และชุมพร
ในส่วนของราคาที่เกษตรกรขายได้ ในรูปสารกาแฟเฉลี่ยปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 123.01 บาท/กิโลกรัม สำหรับราคาในปี2568เฉลี่ยอยู่ที่187.54 บาท/กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ร้อยละ 52.4 เนื่องจากผลผลิตในปี 2568 ลดลงจากปีที่ผ่านมา และความต้องการซื้อมากขึ้น
สำหรับด้านตลาดและความต้องการใช้เมล็ดกาแฟของโลก ในปีการผลิต2568/69สศก. คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่10.16ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ1.70จากปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงการบริโภคที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในตลาดสำคัญ ได้แก่ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา จีน และสหราชอาณาจักร สอดคล้องกับตลาดภายในประเทศที่ได้รับปัจจัยหนุนจากพฤติกรรมการบริโภคของคนรุ่นใหม่ที่นิยมดื่มกาแฟสดมากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการใช้เมล็ดกาแฟในไทยเติบโตขึ้นตามลำดับ
จากการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพข้อมูลด้านพืช เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ได้มีการวางแนวทางการบริหารจัดการเพื่อผลักดันไทยสู่ฐานการผลิตกาแฟคุณภาพระดับภูมิภาค โดยมีแผนเตรียมเสนอและผลักดันนโยบายขยายพื้นที่ปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิกาเพิ่มขึ้นอย่างน้อย1,000ไร่ในพื้นที่คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ที่มีความเหมาะสม ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการผลิตต้นกล้าพันธุ์โรบัสตาในพื้นที่ลุ่มต่ำ (Low Land)เพื่อรองรับความต้องการของตลาด จากข้อมูลสถิติย้อนหลัง5ปี พบว่า ตลาดจีนและสหราชอาณาจักร มีอัตราการเติบโตโดดเด่นกว่าร้อยละ6ต่อปี สืบเนื่องจากวิถีชีวิตการดื่มกาแฟทั้งในร้านและการชงดื่มเองที่บ้านขยายตัว โดยเฉพาะในจีนที่มีการเปิดร้านกาแฟใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือเป็นโอกาสสำคัญของการส่งออกกาแฟไทย
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการแข่งขันและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EU Deforestation Regulation: EUDR)กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้เร่งขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านกาแฟ พ.ศ.2569–2572โดยคณะทำงานร่วมรัฐและเอกชน มีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเกษตรกรจำนวน12,000ครัวเรือนให้เข้าสู่ระบบการผลิตกาแฟคุณภาพภายในระยะเวลา3ปี พร้อมทั้งส่งเสริมเทคโนโลยี การวิจัยพัฒนา และสร้างระบบตลาดที่โปร่งใส การเตรียมความพร้อมตั้งแต่ต้นน้ำจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของกาแฟไทย และเปลี่ยนข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นโอกาสในการเจาะตลาดคู่ค้าสำคัญ ที่เน้นความยั่งยืนต่อไป












