เปิด 4 ข้อปฎิบัติ‘พืชสวนโลกที่โคราช ปี72’ แผนแม่บท-ขนส่ง-เชิญต่างชาติ-พัฒนาพื้นที่หลังงาน

มหกรรมพืชสวนโลก คืองานหกรรมจัดแสดงด้านพืชสวนกลางแจ้ง ประเทศที่จะเป็นเจ้าภาพได้ ต้องเป็นสมาชิกสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ (AIPH)ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์การจัดงาน หมุนเวียนกันไป
ทั้งนี้สมาคมพืชสวนระหว่างประเทศได้แบ่งการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับ A1 (World Horticultural Exhibition) ระดับ B (International Horticultural Exhibition) ระดับ C (International Horticultural Show) และระดับ D (International Horticultural Trade Exhibition) ซึ่งแต่ละระดับมีข้อกำหนดเฉพาะที่แตกต่างกัน เช่น ระยะเวลาการจัดงาน พื้นที่ขั้นต่ำของการจัดแสดง และระยะเวลาที่ต้องแจ้งความประสงค์ล่วงหน้าในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยในส่วนของการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 1 พ.ย. 2569 - วันที่ 14 มี.ค. 2570 ณ พื้นที่ชุ่มน้ำหนองแด ตำบลกุดสระ อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี จัดอยู่ในระดับB โดยมีทางจังหวัดอุดรธานีเป็นเจ้าภาพหลัก
นอกจากนี้ สมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ ประกาศให้สิทธิ์ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก (International Horticultural Expo) หรือ “โคราช เอ็กซ์โป 2029” การได้รับสิทธิ์จัดงานระดับโลกครั้งนี้ จะช่วยยกระดับจังหวัดนครราชสีมาให้เป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมพืชสวน ภายใต้แนวคิด “ธรรมชาติและพรรณพืชเขียวขจี อนาคตแห่งโลกสีเขียว” (Nature & Greenery: Envisioning the Green Future)
“โคราช เอ็กซ์โป 2029” หรือ งานมหกรรมพืชสวนโลกนครราชสีมา พ.ศ. 2572 กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10 พ.ย.2572 ถึง 28 ก.พ. 2573 ถือเป็นงานมหกรรมระดับโลก ประเภท A1การจัดงานครั้งนี้จะนำเสนอแนวคิด “ธรรมชาติและพรรณพืชเขียวขจี อนาคตแห่งโลกสีเขียว” (Nature and Greenery: Envisioning the Green Future) สะท้อนความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีพืชสวนและการเกษตรที่ยั่งยืนของประเทศไทย
ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลัง หารือร่วมกับคณะกรรมการสมาคมพืชสวนระหว่างประเทศ หรือAIPH((The International Association of Horticultural Producers – AIPH)) นำโดยMr. Leonardo CapitanioประธานAIPH เพื่อติดตามความก้าวหน้าในการเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก พ.ศ. 2572 และการเตรียมการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 ซึ่งคณะกรรมการAIPHได้มีการลงพื้นที่ประเมินความพร้อมของจังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 6-7 ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมา
ร.อ. ธรรมนัส กล่าวว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเร่งรัดความพร้อมในการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569 ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการนำเสนอศักยภาพด้านนวัตกรรมพืชสวนและอุตสาหกรรมสีเขียวของประเทศสู่ระดับนานาชาติ อีกทั้งยังถือเป็นก้าวสำคัญในการเตรียมความพร้อมสู่การเป็นเจ้าภาพงานมหกรรมพืชสวนโลก จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ. 2572
โดยไทยจะยื่นเอกสารต่อองค์การนิทรรศการนานาชาติ หรือBIE (Bureau International des Expositions)รับรองเป็นเจ้าภาพในขั้นตอนต่อไป ซึ่งเป็นกลไกสร้างภาพลักษณ์ประเทศ ทั้งยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในภูมิภาค โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานที่มีศักยภาพสูง
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะเร่งบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน รวมทั้งภาคเอกชนและท้องถิ่น เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามกรอบเวลาที่AIPHกำหนด พร้อมทั้งเดินหน้าพัฒนาพื้นที่จัดงาน ปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค และสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้ด้านพืชสวนให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมพืชสวนของไทยในระยะยาว”
ด้านผู้แทนAIPHได้นำเสนอผลการตรวจประเมินพื้นที่ การออกแบบ การบริหารจัดการงาน รวมถึงแนวคิดหลักของงานซึ่งเน้นความยั่งยืน นวัตกรรมสีเขียว การจัดภูมิทัศน์ตามเกณฑ์สากล และการใช้เทคโนโลยีด้านพืชสวนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก พร้อมทั้งยืนยันความเชื่อมั่นว่าไทยมีความพร้อมทั้งด้านศักยภาพ บุคลากร งบประมาณ และโครงสร้างพื้นฐานสำหรับจัดงานระดับโลกได้อย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ คณะกรรมการAIPH เสนอข้อแนะนำสำคัญ 4 ด้าน ในการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดนครราชสีมา พ.ศ.2572 ได้แก่ 1. เร่งจัดทำผังแม่บท (Master Plan)และกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างผู้บริหารโครงการ (Organizer)2. ปรับปรุงระบบคมนาคมและการขนส่ง ให้รองรับผู้เข้าชม ทั้งระบบถนน รถไฟ และสนามบิน 3. เริ่มกระบวนการเชิญประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมจัดแสดงในงานระดับนานาชาติ (Class A1) 4. จัดทำแผนพัฒนาพื้นที่หลังจบงาน (Legacy Plan)โดยให้เชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมออกแบบตั้งแต่ต้น เพื่อความยั่งยืนของพื้นที่
รายงานข่าวแจ้งว่า งานมหกรรมพืชสวนโลกจังหวัดอุดรธานี พ.ศ. 2569” คาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานทั้งสิ้นประมาณ 3.6 ล้านคน ทำให้มีกระแสเงินสดหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวนมหาศาลจากภาคการท่องเที่ยว และการใช้จ่ายเงินของภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน รวมถึงเกิดการกระตุ้นการใช้จ่าย ตลอดช่วงระยะเวลาจัดงาน 134 วัน รายได้สะพัดกว่า 32,000 ล้านบาท











