‘อนุทิน’ยื่นผลประเมินไทยร่วมสมาชิก ‘โออีซีดี’ แม้'เทรดทอง-ภาษีทรัมป์-บาทแข็ง’ถ่วงรายได้ประเทศ

‘อนุทิน’ยื่นผลประเมินไทยร่วมสมาชิก ‘โออีซีดี’ แม้'เทรดทอง-ภาษีทรัมป์-บาทแข็ง’ถ่วงรายได้ประเทศ

“ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพให้เท่าทันมาหลายทศวรรษ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจกลับชะลอตัวลงเมื่อเร็วๆ นี้

และเศรษฐกิจโดยรวมยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนาม ข้อความบางส่วนจาก รายงาน  OECD ECONOMIC SURVEYS: THAILAND 2025  จัดทำโดย องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ที่สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังจะไม่เหมือนเดิม จำเป็นจะต้องยกระดับประเทศให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและทางลัดที่น่าสนในคือการร่วมเป็นสมาชิกของ OECD

นายฟรานติเช็ก รูซิกกา รองเลขาธิการองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เข้าเยี่ยมคารวะ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก 

โดยมีนายมาทีอัส คอร์มันน์ (Mr. Mathias Cormann) เลขาธิการ OECD ร่วมหารือแนวทางขับเคลื่อนกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก OECD ของไทย

      "ถือเป็นก้าวสำคัญของเส้นทางประเทศไทยสู่การเป็นสมาชิก OECD และขอบคุณ OECD และประเทศสมาชิกที่ให้คำแนะนำและสนับสนุนประเทศไทยอย่างต่อเนื่องในทุกขั้นตอนของกระบวนการ การเข้าเป็นสมาชิก OECD นับเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของไทย ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพของประเทศในการรับมือกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต รัฐบาลมุ่งขับเคลื่อนกระบวนการด้วยความมุ่งมั่นเต็มที่ พร้อมขอคำแนะนำจาก OECD อย่างใกล้ชิด" นายอนุทิน กล่าว 

ด้านรองเลขาธิการ OECD แสดงความขอบคุณรัฐบาลไทยที่ให้ความสำคัญต่อการเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD พร้อมชื่นชมความคืบหน้าและความมุ่งมั่นของไทยในการดำเนินการตามข้อกำหนดต่าง ๆ ของ OECD อย่างจริงจัง โดยระบุว่า OECD พร้อมสนับสนุนไทยอย่างเต็มที่ในทุกขั้นตอนของกระบวนการ โดยการยกระดับมาตรฐานต่าง ๆ จะเปิดโอกาสและบทบาทของไทยในความร่วมมือระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ไทยสามารถได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมกิจกรรมและข้อริเริ่มต่าง ๆ ของ โออีซีดี ได้ตั้งแต่ก่อนการเป็นสมาชิกอย่างสมบูรณ์ ทั้งในด้านมาตรฐาน นโยบาย และองค์ความรู้ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพการกำหนดนโยบายสาธารณะของไทยให้มีความทันสมัย โปร่งใส และแข่งขันได้มากขึ้น

ภายหลังการหารือ นายกรัฐมนตรี ได้มอบ เอกสารสำคัญ 2 ฉบับ ให้รองเลขาธิการ OECD ได้แก่

1. บันทึกเบื้องต้น (Initial Memorandum) ซึ่งจัดทำโดยหน่วยงานไทยภายใต้การประสานงานของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นเอกสารประเมินความพร้อมของไทยในการยกระดับกฎหมาย มาตรฐาน นโยบาย และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับกรอบของ OECD ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของกระบวนการเข้าเป็นสมาชิก

2. หนังสือแสดงเจตจำนงในการเริ่มกระบวนการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบนแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐต่างประเทศในการทำธุรกรรมทางธุรกิจระหว่างประเทศ (OECD Anti-Bribery Convention) จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญที่ไทยให้ต่อการต่อต้านการทุจริต การส่งเสริมธรรมาภิบาล และการยกระดับสภาพแวดล้อมการลงทุนคุณภาพสูงของประเทศอย่างโปร่งใส

ด้านนาย รูซิกกา กล่าวว่า  สำหรับบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นนี้เป็นการประเมินตนเองเบื้องต้นโดยประเทศไทยเกี่ยวกับความสอดคล้องของกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยกับมาตรฐาน OECD การยื่นบันทึกข้อตกลงนี้เป็นการเริ่มต้นขั้นตอนทางเทคนิคของกระบวนการเข้าร่วม OECD เพื่อให้สอดคล้องกับแผนงานการเข้าร่วมของประเทศไทย ซึ่งประเทศสมาชิก OECD ทั้ง 38 ประเทศได้รับรองเมื่อปี 2567 

“การสนทนาทางเทคนิคเชิงลึกจะเริ่มต้นขึ้น โดยมีคณะผู้เชี่ยวชาญ 25 คณะ ครอบคลุมประเด็นนโยบายที่หลากหลาย รวมถึงบรรยากาศการลงทุน ตลาดการเงิน และการพัฒนาภูมิภาค และตลอดกระบวนการเข้าร่วม สมาชิก OECD และประเทศไทยจะร่วมกันหารือหลายครั้งเพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยนำกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดของ OECD มากขึ้น”

     ด้านนายคอร์มันน์ กล่าวว่า กระบวนการเข้าร่วม OECD เป็นเส้นทางการเปลี่ยนแปลงที่จะสนับสนุนประเทศไทยในการพัฒนาวาระการปฏิรูปที่ครอบคลุม และเสริมสร้างรากฐานสำหรับการเติบโตระยะยาวและการพัฒนามาตรฐานการครองชีพ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศไทยในการบรรลุสถานะรายได้สูงภายในปี พ.ศ. 2580

       “กระบวนการเข้าร่วมนี้เป็นประโยชน์ร่วมกัน ช่วยให้ประเทศไทยสามารถใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญและเครือข่ายนโยบายของ OECD ควบคู่ไปกับการนำข้อมูลเชิงลึกและมุมมองระดับภูมิภาคที่เป็นเอกลักษณ์มาสู่การทำงานของ OECD”

สำหรับประเทศไทยเป็นพันธมิตรอันทรงคุณค่าของ OECD มานานกว่าสองทศวรรษ ซึ่งรวมถึงโครงการ OECD-Thailand Country Programme ระยะที่สองนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 โดยได้เข้าร่วมคณะกรรมการ OECD หลายคณะ และปฏิบัติตามมาตรฐาน OECD หลายข้อก่อนที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิก OECD Council ได้มีมติเปิดการหารือเกี่ยวกับการเข้าร่วม OECD กับประเทศไทยเมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2567

ทั้งนี้  OECD ได้เผยมุมมองต่อประเทศไทยผ่าน  รายงาน OECD ECONOMIC SURVEYS: THAILAND 2025 ที่ยังได้ระบุอีกว่าอัตราการเติบโตของผลผลิตยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดใหญ่ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและความเชื่อมั่นทางธุรกิจมีแนวโน้มถดถอยลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบพัฒนาการด้านการท่องเที่ยวและภาคการผลิตเป็นส่วนหนึ่งที่อธิบายผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างอ่อนแอของประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

โดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวหลังการระบาดใหญ่เป็นไปอย่างเชื่องช้าในภาคการผลิต การเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ก็ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของผลิตภาพเช่นกัน หนี้ผู้บริโภคที่สูงของประเทศไทย ข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับหนี้สินต่อความสามารถในการใช้จ่ายของครัวเรือนได้เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่อัตราดอกเบี้ยเริ่มสูงขึ้นหลังการระบาดใหญ่ ขณะเดียวกันประเทศไทยเกิดขึ้นท่ามกลางอุปสรรคและความท้าทายเชิงโครงสร้างในระยะยาว ประชากรกำลังสูงวัยขึ้น ในปี 2543 มีประชากรอายุมากกว่า 64 ปีประมาณ 10 คน ต่อประชากรอายุ 15 ถึง 64 ปี 100 คน และในปี 2566 ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 20 คน ประเทศไทยยังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านสู่สีเขียว โดยจำเป็นต้องปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการทำตามพันธสัญญาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ทั้งนี้ ยังมีความท้าทายที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญอยู่นั้นทวีความรุนแรงขึ้นจากความเสี่ยงสูงต่อพัฒนาการของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ การส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 20% ของการค้าสินค้าทั้งหมด และคิดเป็นมูลค่าประมาณ 15% ของจีดีพี นโยบายภาษีศุลกากรส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้ามีความผันผวนอย่างมากในปี 2568 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกทองคำและการส่งออกสินค้าล่วงหน้าก่อนการขึ้นภาษี โดยผลกระทบหลังนี้สะท้อนให้เห็นการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของปริมาณการส่งออกสำหรับไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2568 แต่ในไตรมาสที่ 3 กลับพบภาวะสินค้าคงคลังที่ลดลงและปริมาณการนำเข้าที่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเข้าสินค้าทุน 

“การส่งออกที่ชะลอตัวไปยังสหรัฐอาจมาพร้อมกับอุปสงค์ที่ลดลงจากจีน เนื่องจากบทบาทของไทยในห่วงโซ่อุปทานสำหรับการส่งออกของจีน ในขณะเดียวกัน ภาคการผลิตอาจพบโอกาสในการทดแทนสินค้าส่งออกจากจีนที่มุ่งหน้าสู่สหรัฐ เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ” 

ภาษีศุลกากรโลกที่สูงขึ้นและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้ามีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบทางลบต่อการลงทุน ปัจจัยสำคัญสำหรับประเทศไทยคือการพัฒนาของภาษีศุลกากรเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง ภาษีศุลกากรดังกล่าวยังทำให้เกิดความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับสกุลเงินอื่นๆ รวมถึงเงินบาทไทย ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้รับการกล่าวถึงในการสำรวจครั้งก่อนๆ และเชื่อมโยงกับความผันผวนที่เกิดจากกฎระเบียบตลาดทุน แม้รัฐบาลได้ดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทหลังจากการแข็งค่าขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งบางส่วนเชื่อมโยงกับการค้าทองคำของไทยแล้วก็ตาม

     แม้ว่าการเป็นสมาชิก OECD จะมีประโยชน์และน่าจะเป็นทางลัดให้ไทยสามารถเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้แต่ OECD ก็ทำได้เพียงแนะนำเพราะคนที่ต้องขับเคลื่อนจริงคือประเทศไทยจากทุกภาคส่วนนั่นเอง 

‘อนุทิน’ยื่นผลประเมินไทยร่วมสมาชิก ‘โออีซีดี’ แม้'เทรดทอง-ภาษีทรัมป์-บาทแข็ง’ถ่วงรายได้ประเทศ