ช่องทางอำนวยความสะดวกค้าผ่านแดนไทย-จีน แลกเปิดเพิ่มจุดนำเข้า-ส่งออก รวม 5 ด่าน

ช่องทางอำนวยความสะดวกค้าผ่านแดนไทย-จีน แลกเปิดเพิ่มจุดนำเข้า-ส่งออก รวม 5 ด่าน

ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา ไทยมีการส่งออกผลไม้ ทั้งแบบสด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง มูลค่า 231,401 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.6% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งหมดของไทย เฉพาะผลไม้สดมีมูลค่า 183,823 ล้านบาท

   สำหรับ “ทุเรียน”สามารถส่งออกได้ถึง 859,183 ตัน มูลค่า 134,852 ล้านบาท สัดส่วน 72.9% ของมูลค่าการส่งออกผลไม้สดทั้งหมดของไทย รองลงมาคือ “ลำไย” ส่งออก 527,927 ตัน มูลค่า 19,698 ล้านบาท “มังคุด” ส่งออก 284,860 ตัน มูลค่า 17,573 ล้านบาท “มะพร้าวอ่อน” ส่งออก 257,428 ตัน มูลค่า 7,616 ล้านบาท “มะม่วง” ส่งออก 106,753 ตัน มูลค่า 4,716 ล้านบาท

    โดยตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดคือ “จีน” สำหรับผลไม้ “ทุเรียน-ลำไย-มังคุด-มะพร้าวอ่อน” อย่างไรก็ตามพบว่าการส่งออกสินค้าเกษตรไปจีนมีปัญหาและอุปสรรคจำนวนมาก ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหรัฐ ระบุว่า สถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังจีนในเดือนม.ค.2568 เผชิญกับมาตรการ ควบคุมคุณภาพทุเรียนนําเข้าที่เข้มงวดขึ้นของจีน และยังมีมาตรการสำหรับสินค้าเกษตรอื่นๆ ได้แก่ มาตรการการควบคุมศัตรูพืชและสารเคมีตกค้าง : จีนมีการบังคับใช้ข้อกําหนดที่เข้มงวดมากขึ้นเกี่ยวกับการ ควบคุมศัตรูพืชและสารเคมีตกค้างในผลไม้และสินค้าเกษตรที่นําเข้า ทําให้ผู้ส่งออกไทยต้องปรับกระบวนการผลิตและตรวจสอบเพิ่มเติม สินค้าหลายชนิด เช่น มังคุด ลําไย และลิ้นจี่ ถูกจับตามองเรื่องสารตกค้าง ทําให้มีต้นทุนการตรวจสอบที่สูงขึ้นสําหรับผู้ประกอบการไทย

 ปัญหาการขนส่งและโลจิสติกส์ : การนําเข้าสินค้าเกษตรผ่านด่านชายแดนจีน เช่น ด่านโหย่วอี้กวน และด่านโม่ ฮาน ยังคงมีปัญหาด้านความล่าช้าเนื่องจากกระบวนการตรวจสอบที่เพิ่มขึ้นหลังเทศกาลตรุษจีน สภาพอากาศในช่วงฤดูหนาวของจีน ส่งผลต่อการขนส่งสินค้าเกษตรสด เช่น ผักและผลไม้ที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิอย่างเคร่งครัด 

 การแข่งขันจากประเทศอื่น : จีนได้เพิ่มปริมาณการนําเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศคู่แข่ง เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งมีมาตรฐานสินค้าและราคาที่แข่งขันกับไทย ทําให้ส่วนแบ่งตลาดของไทยลดลงในบางประเภท สินค้า 

 ความต้องการสินค้าแปรรูปเพิ่มขึ้น : ตลาดจีนเริ่มเปลี่ยนไปให้ความสําคัญกับสินค้าเกษตรแปรรูป เช่น นํ้า ผลไม้ขนมขบเคี้ยวจากผลไม้แปรรูป และอาหารพร้อมทาน มากกว่าสินค้าเกษตรสด ซึ่งผู้ผลิตไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อสนอง ความต้องการของตลาดนี้  

 การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค : ผู้บริโภคจีนเริ่มให้ความสําคัญกับผลิตภัณฑ์ที่มีการรับรองด้านความ ปลอดภัยและคุณภาพ เช่น เครื่องหมายรับรองมาตรฐานอาหารปลอดภัย (HACCP) หรือผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ทําให้สินค้าบางประเภทที่ขาดการรับรองไม่ได้รับความนิยม

 ดังนั้น การสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างไทยและจีน เพื่อขจัด หรือลดอุปสรรคต่างๆ จะทำให้การส่งออกสินค้าเกษตรสามารถสะท้อนกลับไปเป็นรายได้ของเกษตรกรได้ง่ายขึ้นและมากขึ้น 

  นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออก จำนวน 5 ด่าน ในภาคผนวกของพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ

ใบรับรองสุขอนามัยพืช-ตรวจโรคที่ด่าน

 ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยและสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (General Administration of Customs of the People’s Republic of China: GACC) ได้มีการลงนามในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2564

  โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับเงื่อนไขของใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกักกันโรค และการตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ไทยผ่านประเทศที่สาม ระหว่างไทยกับจีน ซึ่งจุดนำเข้าและจุดส่งออกสำหรับการขนส่งผลไม้ของทั้งสองฝ่ายจะถูกกำหนดลงในภาคผนวกของพิธีสารฉบับนี้ โดยไม่จำกัดเส้นทางในการขนส่งผลไม้ระหว่างกัน 

  ทั้งนี้ การลงนามพิธีสารเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2563 ซึ่งเห็นชอบและอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการดังกล่าว ซึ่งในการประชุมหารือทางเทคนิคระหว่างกรมการกักกันพืชและสัตว์ GACC และสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ เมื่อวันที่ 14 ส.ค.2568 ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกทั้ง 5 ด่านของไทยและจีนในภาคผนวกของพิธีสารฯ โดยเห็นควรให้ภาคผนวก มีผลบังคับใช้ในเบื้องต้นภายในวันที่ 1 ก.ย.2568 ซึ่งทั้งสองฝ่ายจะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายภายในประเทศ และตกลงจะแลกเปลี่ยนช่องทางติดต่อรวมถึงวันที่ด่านพร้อมดำเนินการต่อไป 

ความร่วมมือสุขอนามัยเพื่อการนำเข้า-ส่งออก

  นางสาวอัยรินทร์ กล่าวต่อว่า พิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นการดำเนินการภายใต้บันทึกความเข้าใจร่วมกันว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชระหว่างไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งลงนามเมื่อวันที่ 12 เม.ย.2547

  โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดของใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary Certificate) ตามเงื่อนไขและหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการกักกันโรคและการตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยกับจีน ซึ่งจุดนำเข้าและจุดส่งออกสำหรับการขนส่งผลไม้ของทั้งสองฝ่ายจะถูกกำหนดลงในภาคผนวกของพิธีสารฉบับนี้

 กรณีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือเพิ่มเติมจุดนำเข้าและจุดส่งออกอื่นของทั้งสองฝ่าย สามารถเพิ่มเข้าไปในภาคผนวกของพิธีสารนี้ได้ผ่านการหารือเห็นชอบร่วมกัน 

 โดยในภาคผนวกของพิธีสารที่ได้มีการลงนามแล้วระบุจุดนำเข้าและจุดส่งออกของสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 10 ด่าน ได้แก่ 1. โหย่วอี้กว่าน 2.โม่ฮาน 3. ตงชิง 4. สถานีรถไฟผิงเสียง 5. สถานีรถไฟโม่ฮาน 6. หลงปัง 7. สุยโข่ว 8. เหอโข่ว 9. สถานีรถไฟเหอโข่ว และ 10. เทียนป่าว 

  ขณะที่จุดนำเข้าและจุดส่งออกของไทยมีจำนวน 6 ด่าน ได้แก่ 1. เชียงของ 2. มุกดาหาร 3.นครพนม 4. บ้านผักกาด 5. บึงกาฬ และ 6. หนองคาย 

  ปัจจุบันจุดนำเข้าและจุดส่งออกของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ระบุในพิธีสารฯ จำนวน 1 ด่าน ได้แก่ สถานีรถไฟเหอโข่ว ยังไม่เปิดนำเข้าผลไม้จากไทยเนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก

ไทย-จีนเปิดเพิ่มด่าน รวม 5 จุด

  โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ GACC ได้เห็นชอบร่วมกันในการเพิ่มเติมจุดนำเข้าและจุดส่งออกในภาคผนวกของพิธีสารดังกล่าว โดยขอเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกของสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 2 ด่านในมณฑลยูนนาน ได้แก่ 1. เมิ่งคัง และ 2. ตำลั่ว และขอเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกของราชอาณาจักรไทย จำนวน 3 ด่าน ได้แก่ 1. ทุ่งช้าง จังหวัดน่าน 2. ภูดู่ จังหวัดอุตรดิตถ์ และ 3. บ้านฮวก จังหวัดพะเยา ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือตอบรับอย่างเป็นทางการ และผ่านการประชุมหารือทางเทคนิคระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

  สำหรับประโยชน์และผลกระทบ มีดังนี้ 

1. การเพิ่มจุดนำเข้าและจุดส่งออกในภาคผนวกของพิธีสารฯ สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการร่วมว่าด้วยความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ไทย-จีน ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2565 - 2569) รวมถึงแผนความร่วมมือที่เกี่ยวข้องด้านต่าง ๆ ในภาคเกษตร เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและเกิดการอำนวยความสะดวกทางการค้าข้ามพรมแดน เพื่อให้เกิดการไหลเวียนที่คล่องตัวขึ้นของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรระหว่างไทยกับจีน 

2. การเพิ่มเติมจุดนำเข้าและจุดส่งออกในภาคผนวกดังกล่าว เป็นการช่วยเพิ่มช่องทางการเข้าสู่ตลาดจีนของผลไม้ไทยและเพิ่มทางเลือกในการขนส่งผลไม้ทางบก อันเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและ ผู้ประกอบการไทย อีกทั้งช่วยลดความแออัดจากการขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางเดิมในช่วงฤดูกาลผลไม้ด้วย

ช่องทางอำนวยความสะดวกค้าผ่านแดนไทย-จีน แลกเปิดเพิ่มจุดนำเข้า-ส่งออก รวม 5 ด่าน