จาก 'นักปฏิบัติ' สู่ ผู้กำหนดนโยบาย 'เอกนิติ' ฉายภาพ 3 เดือน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

“เอกนิติ“ เผยเบื้องหลังการทำงานแข่งกับเวลา 3 เดือน พลิกบทบาทข้าราชการสู่ผู้กำหนดนโยบาย ปั้น “Quick Big Win” 5 เสาหลัก 1 ฐานราก สำเร็จใน 2 เดือนจริง ชูผลงานรูปธรรม “คนละครึ่งพลัส - Thailand Fast Pass” พร้อมวางรากฐานวินัยการคลัง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ถ่ายทอดประสบการณ์และสรุปผลงานในช่วงระยะเวลาเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยระบุถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต จากเดิมที่เป็น “ผู้ปฏิบัติ” (Executor) ในฐานะข้าราชการประจำ ก้าวสู่บทบาท “ผู้กำหนดนโยบาย” (Policy Maker) ในตำแหน่งหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
นายเอกนิติ เปิดเผยว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาต้องทำงานแข่งกับเวลาอย่างหนัก เพื่อเร่งคลอดมาตรการเศรษฐกิจชุดใหญ่ภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” ซึ่งประกอบด้วย 5 เสาหลัก และ 1 ฐานราก โดยมีเป้าหมายให้ครบถ้วนภายในกรอบเวลา 4 เดือน เพื่อสร้างผลลัพธ์แบบ “กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว และกระจายตัว” แต่ในทางปฏิบัติมีเวลาทำงานจริงเพียงประมาณ 2 เดือนกว่าเท่านั้น ซึ่งในที่สุดก็สามารถผลักดันมาตรการต่างๆ ออกมาได้เกือบครบตามเป้าหมาย
นายเอกนิติ ได้ถอดบทเรียนสำคัญ 5 ประการ จากการทำงานในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ดังนี้
1. การออกแบบนโยบาย ‘Quick Big Win’ ต้องจับต้องได้
นายเอกนิติระบุว่า ได้นำคอนเซปต์ ‘Quick Big Win’ ที่เคยใช้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในหน่วยงานสมัยเป็นข้าราชการ มาใช้ในการออกแบบนโยบายร่วมกับทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดผลเชิงประจักษ์ในเวลาจำกัด โดยยึดหลักการว่านโยบายต้องทำได้จริง แก้ปัญหาทั้งระยะสั้นและยาว และคำนึงถึงความคุ้มค่าของทรัพยากร
ตัวอย่าง โครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่กำหนดให้มีการ Upskill ร้านค้าเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ในระยะยาว และกระจายเม็ดเงินไปทั่วประเทศ
2. หัวใจขับเคลื่อนคือบูรณาการ ภาครัฐและเอกชน
นายเอกนิติ ระบุว่า ความเข้าใจผิดเรื่องการบูรณาการคือมักเริ่มทำในขั้นตอนปฏิบัติ (Execution) แต่ความจริงต้องเริ่มตั้งแต่ “การออกแบบนโยบาย” โดยเฉพาะการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน (เสาที่ 2), สภาพคล่อง SMEs ที่หดตัว (เสาที่ 3) และการส่งเสริมการออมรองรับสังคมสูงวัย (เสาที่ 4)
นายเอกนิติระบุว่า ได้ดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดมสมองตั้งแต่ต้น ทั้งกรมในกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.), บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB), สมาคมธนาคารไทย, สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.), สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ไปจนถึง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อเปิดใจรับฟังข้อเสนอและอุปสรรค จนนำไปสู่การบูรณาการเชิงนโยบายและปฏิบัติที่แท้จริง
3. ฟังเสียง ‘Customer’ จนเกิด ‘Thailand Fast Pass’
ความสำเร็จของนโยบายขึ้นอยู่กับการรับฟังปัญหาที่แท้จริงของผู้ประกอบการ (Customer Centric) ในการขับเคลื่อน เสาที่ 5 หรือการลงทุนเพื่ออนาคต
จากการรับฟังนักลงทุนที่ได้รับบัตรส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) พบปัญหาอุปสรรคด้านกฎระเบียบและแรงงาน จึงนำไปสู่การจัดตั้งโครงการ “Thailand Fast Pass” เพื่อปลดล็อกกฎระเบียบให้โครงการขนาดใหญ่เดินหน้าได้รวดเร็ว พร้อมจับมือผู้ประกอบการพัฒนาหลักสูตรแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานทักษะสูงให้ตรงความต้องการตลาด
4. ยึดมั่น ‘วินัยการเงินการคลัง’ เป็นฐานรากสำคัญ
นายเอกนิติเน้นย้ำเรื่องวินัยการคลังเป็นพิเศษ โดยการออกแบบนโยบายทั้งหมดตั้งอยู่บนพื้นฐานความยั่งยืน มีการปรับแผนการคลังระยะปานกลางเพื่อลดการขาดดุลภาครัฐ
โดยแสดงความตั้งใจจริงด้วยการคืนหนี้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และการออกหลักเกณฑ์ตาม มาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ เพื่อจำกัดกรอบการใช้นโยบายกึ่งการคลังให้มีความรัดกุมและรอบคอบมากขึ้น ไม่ให้เป็นภาระต่องบประมาณในอนาคต
5. ปัจจัย ‘เวลา’ และ ‘ความต่อเนื่อง’
นายเอกนิติ ทิ้งท้ายว่า นโยบายจะสัมฤทธิ์ผลสูงสุด นอกจากทำได้จริงแล้ว ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ “เวลา” และ “ความต่อเนื่อง” เพื่อให้มาตรการส่งผลเป็นรูปธรรม โดยยอมรับว่าตนเองคนเดียวไม่สามารถขับเคลื่อนงานได้หากขาดการสนับสนุนจากข้าราชการกระทรวงการคลัง, สำนักงบประมาณ, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.), บีโอไอ และกระทรวงพาณิชย์ รวมทั้งผู้บริหารระดับสูงทั้งภาครัฐและเอกชน ตั้งแต่ ธปท., ก.ล.ต.,ตลท., สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ, คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และ เครดิตบูโร
“สุดท้าย ขอขอบคุณทีมงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ทั้งผู้ช่วย เลขาฯ ทีมที่ปรึกษา และทีมหน้าห้อง ที่ช่วยกันขับเคลื่อนนโยบายโดยไม่ได้หยุดพัก และกราบขอบพระคุณท่านนายกรัฐมนตรี ที่เห็นความตั้งใจ ความจริงใจ และให้โอกาสผมเข้ามาช่วยดูแลเศรษฐกิจของประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านที่สำคัญนี้” นายเอกนิติ กล่าวทิ้งท้าย












