ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐปีหน้า | เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐปีหน้า | เศรษฐศาสตร์บัณฑิต

การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐสัปดาห์ที่แล้ว ลดลงอีกร้อยละ 0.25 ไม่มีอะไรตื่นเต้น เพราะเป็นไปตามที่ตลาดการเงินคาด แต่ที่สะดุดตาคือแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อสหรัฐปีหน้า ที่คณะกรรมการเฟดมองภาพค่อนข้างบวก

คือ เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวดีขึ้น เงินเฟ้อไม่รุนแรงแม้สูงกว่าเป้า 

ขณะที่อัตราว่างงานยืนระยะที่ร้อยละ 4.4 ทำให้อัตราดอกเบี้ยจะลดลงได้อีกหนึ่งครั้งในปีหน้า เป็นภาพที่ต่างจากที่ตลาดการเงินกําลังมองขณะนี้ว่าอัตราดอกเบี้ยอาจปรับลงอย่างน้อยสองครั้งปีหน้า เพราะความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐ ทําไมจึงแตกต่าง นี่คือประเด็นที่จะเขียนวันนี้

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายปีนี้ แม้เป็นไปตามคาดแต่ตลาดหุ้นตอบรับเข้มแข็ง เพราะนอกจากจะลงอัตราดอกเบี้ยแล้ว เฟดยังจะเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นประมาณ 40 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือน เพื่อให้ระบบการเงินมีสภาพคล่อง ตอกย้ำการพยุงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับตํ่าซึ่งดีต่อตลาดหุ้น 

นอกจากนี้ประธานเฟดชี้ว่าการขึ้นดอกเบี้ยไม่ใช่กรณีฐาน (base case) หมายถึง ไม่ได้เป็นกรณีที่คณะกรรมการพิจารณา ทําให้ตลาดการเงินยิ่งเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในเกณฑ์ตํ่าต่อไป

การลดดอกเบี้ยคราวนี้มีเกล็ดพอควรที่ชี้ถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยปีหน้า อย่างแรก เป็นการตัดสินใจในสถานการณ์ที่เป้าการดําเนินนโยบายการเงินของเฟดทั้งสองด้านแย่ลง คือ อัตราเงินเฟ้อขยับขึ้นเป็นร้อยละ 3 เดือนกันยายนสูงกว่าเป้าร้อยละ 2 ขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.4 เดือนกันยายนสูงกว่าร้อยละ 4.3 เดือนก่อนหน้า 

เมื่อทั้งเงินเฟ้อและตลาดแรงงานแย่ลง และเฟดเลือกที่จะลดอัตราดอกเบี้ย ก็ชัดว่าเฟดเลือกที่จะให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจมากกว่าเงินเฟ้อ ทำให้ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะกลับมาเป็นปัญหาเพิ่มสูงขึ้น

2.เหตุที่เฟดไม่ห่วงเรื่องเงินเฟ้อ พิจารณาจากคำตอบของประธานเฟด คือ เฟดวิเคราะห์ว่าเงินเฟ้อที่ลงยากตอนนี้เป็นผลล้วนๆ จากอัตราภาษีนําเข้าที่สูงขึ้น คือภาษีทรัมป์ ที่เพิ่มต้นทุนการผลิต ซึ่งน่าจะเป็นภาวะชั่วคราว และเมื่อผลจากภาษีหมดไป อัตราเงินเฟ้อก็จะลดลง

ความเสี่ยงของมุมมองนี้คือ ผลกระทบของภาษีทรัมป์อาจไม่ใช่เรื่องชั่วคราว เพราะภาษีทําให้ต้นทุนการผลิต และราคาสินค้าบริโภคที่นําเข้าแพงขึ้น ค่าครองชีพในสหรัฐจึงสูงขึ้น เป็นประเด็นที่ประชาชนสหรัฐบ่นมากขณะนี้ ค่าครองชีพที่สูงกดดันให้ค่าจ้างแรงงานต้องปรับสูงขึ้นเพื่อชดเชย สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ

ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ลดลงก็จะกระตุ้นการใช้จ่ายและกดดันเงินเฟ้อ ทั้งหมดทําให้อัตราเงินเฟ้อจะลดลงยาก นี่คือความเป็นไปได้ที่รออยู่

3.การตัดสินใจลดดอกเบี้ยคราวนี้เสียงแตก ไม่เป็นเอกฉันท์ จากกรรมการที่ลงคะเเนนทั้งหมด 12 คน มี 9 คนที่ให้ลดดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 มีสองคนให้ยืน และอีกหนึ่งคนให้ลดร้อยละ 0.50 แม้ความแตกต่างของความเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่คราวนี้มีถึงหนึ่งในสี่ที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจซึ่งถือว่ามาก ตลาดการเงินจึงกังวลว่า เมื่อนายเจอโรม พาวแวลล์ หมดวาระการทําหน้าที่ประธานเฟดในเดือนพฤษภาคมปีหน้า 

ผู้ที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะแต่งตั้งมารับตำแหน่งประธานเฟดคนใหม่ ถ้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ประธานาธิบดีทรัมป์อยากทํา ขณะที่กรรมการเฟดมีความเห็นต่างกันมากแบบนี้ ความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐอาจถูกกระทบ และจะกระทบไปถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐ

ทั้งหมดชี้ว่าความไม่แน่นอนในการทํานโยบายการเงินสหรัฐขณะนี้มีมาก ทั้งข้อมูลเศรษฐกิจที่ไม่ครบถ้วน ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนเพราะทั้งเงินเฟ้อและตลาดแรงงานแย่ลง ความเห็นของผู้ตัดสินใจก็ไม่ไปทางเดียวกัน ขณะที่ผู้ที่จะเข้ามานําการตัดสินใจ เข้ามาเป็นผู้นําเฟด เป็นเบอร์หนึ่งของระบบการเงินโลก ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นใคร จะออกมาอย่างไร นี่คือความไม่แน่นอน

ความไม่แน่นอนนี้กระทบทิศทางนโยบายและเศรษฐกิจ สะท้อนชัดเจนจากความเห็นเรื่องเศรษฐกิจของคณะกรรมการเฟดทั้ง 19 คน คือกรรมการในส่วนกลางและภูมิภาค ที่ส่วนใหญ่นั่งเป็นกรรมการในคณะนโยบายการเงินของเฟดที่มี 12 คน ที่เหลือไม่อยู่ในคณะกรรมการนโยบายการเงิน กรรมการเฟดทั้ง 19 คนนี้จะหารือและให้ความเห็นร่วมกันเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยทุกไตรมาส 

โดยแต่ละคนให้ความเห็นและเจ้าหน้าที่เฟดจะนําความเห็นมาเฉลี่ยเป็นภาพรวม (Dot Plot) ซึ่งผลที่ออกมาล่าสุดพร้อมการประชุมสัปดาห์ที่แล้ว คือ กรรมการโดยเฉลี่ยมองภาพเศรษฐกิจสหรัฐปีหน้าค่อนข้างบวก ขยายตัวดีขึ้นเป็นร้อยละ 2.3 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 2.4 ยังสูงกว่าเป้าร้อยละ 2 และอัตราว่างงานยืนระยะที่ร้อยละ 4.4 ไม่ต่างจากปีนี้

เป็นภาพเศรษฐกิจที่ไปต่อแบบเรียบๆ ไม่มีอะไรแย่ลง ไม่ร้อนไม่หนาว และอัตราดอกเบี้ยจะปรับลงได้อีกหนึ่งครั้งปีหน้า คําถามคือ ภาพเศรษฐกิจที่ออกมาแบบนี้ซ่อนอะไรไว้หรือเปล่า และตรงไหมกับความเห็นของตลาดการเงิน

สิ่งที่ซ่อนอยู่คือ ความแตกต่างในความเห็นของกรรมการที่มีมาก เพราะตัวเลขที่ปรากฏเป็นตัวเลขเฉลี่ย จึงไม่สะท้อนความแตกต่างของความเห็นที่มีให้เห็น

ตัวอย่างเช่น แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปีหน้า ตัวเลขเฉลี่ยคืออัตราดอกเบี้ยจะลงได้อีกหนึ่งครั้ง แต่ความเห็นของกรรมการเฟดมีทั้งขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 คน คงอัตราดอกเบี้ย 7 คน ลงดอกเบี้ย 8 คน โดยลงมากกว่า 1 เปอร์เซ็นต์สองคน และลงมากว่า 1.5 เปอร์เซ็นต์หนึ่งคน นี่คือ ความแตกต่างในความเห็นที่มองไม่เห็นจากตัวเลขเฉลี่ย

นอกจากนี้ถ้าโยงเหตุผลของการขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ยของกรรมการเฟดกับแนวโน้มเศรษฐกิจ ก็ชัดเจนว่า มีกรรมการมากกว่าครึ่งที่มองว่าเงินเฟ้อจะเป็นปัญหาในปีหน้า ทําให้อัตราดอกเบี้ยควรขึ้นหรือไม่ควรลง และมีกรรมการอีกเกือบครึ่งที่มองว่าเศรษฐกิจจะชะลอต่อเนื่อง ควรต้องลดดอกเบี้ย ดังนั้น แม้ในเฟดเองที่มีข้อมูลเศรษฐกิจมากสุด แนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางดอกเบี้ยปีหน้ายังมองต่างกัน

สําหรับตลาดการเงิน ทั้งนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้น ตลาดพันธบัตร และตลาดล่วงหน้า ล้วนมองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายต้องลดอีกอย่างน้อยสองครั้งในปีหน้า สะท้อนความห่วงใยของตลาดเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดพันธบัตรห่วงเสถียรภาพเศรษฐกิจ สะท้อนจากการปรับขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐระยะยาว 

เพราะห่วงทั้งปัญหาหนี้สาธารณะ ฐานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐ และความเป็นอิสระของธนาคารกลางจากที่การเมืองจะเเต่งตั้งประธานเฟดคนใหม่ ทําให้ตลาดการเงินอาจเสียความเชื่อมั่น ถ้าไม่ระวัง

สำหรับผม ความห่วงใยที่น่ากังวลสุดของเศรษฐกิจสหรัฐปีหน้าคือเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะ Stagflation คือ ภาวะที่เศรษฐกิจชะลอหรือถดถอยพร้อมอัตราเงินเฟ้อที่สูง เป็นปัญหาที่แก้ยาก และในที่สุดต้องแก้โดยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อเอาอัตราเงินเฟ้อลง ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐจะยิ่งชะลอมากขึ้น กระทบไปถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก นี่คือฉากทัศน์ที่มีความเป็นไปได้และต้องระวัง

 

ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐปีหน้า | เศรษฐศาสตร์บัณฑิต