ความสำคัญของตลาดหุ้น ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ความสำคัญของตลาดหุ้น ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เป็นที่ทราบกันดีว่า ตลาดหุ้นสะท้อนการคาดการณ์อนาคตของเศรษฐกิจ กล่าวคือ นักลงทุนจะพยายามแย่งกันซื้อหุ้นที่คาดหวังว่า ราคาจะปรับตัวขึ้นในอนาคต และจะพยายามแย่งกันขายหุ้นที่คาดว่าราคาจะปรับตัวลดลงในอนาคต

และราคาหุ้นจะปรับขึ้นหรือลงได้ในระยะยาว ก็เพราะว่าผลประกอบการของบริษัททั้งยอดขายและกำไรจะดีขึ้นจริงหรือถดถอยจริงในอนาคต

ดังนั้น เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็นการสะท้อนการคาดหวังว่า ผลประกอบการ (ทั้งกำไรและยอดขาย) ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจน่าจะสามารถขยายตัวได้ดีเช่นกัน

ในกรณีของสหรัฐนั้น เราได้เห็นแล้วว่า ราคาหุ้นของสหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่า สหรัฐเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence หรือเอไอ)

ดังนั้น ตั้งแต่ Chat GPT เปิดตัวต่อสาธารณชนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนปี 2022 ราคาหุ้นที่ทำธุรกิจเอไอในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ จึงได้ปรับตัวขึ้นอย่างมหัศจรรย์ เช่น ราคาหุ้น Nvidia ปรับตัวขึ้นไปประมาณ 10 เท่าตัว และหุ้น Meta ปรับตัวขึ้นไปกว่า 6.5 เท่า เป็นต้น

ดัชนี S&P 500 จึงได้ปรับตัวขึ้นไปประมาณ 75% ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยกว่า 70% ของการปรับขึ้นของดัชนี S&P 500 ดังกล่าว เกิดจากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นเอไอที่ได้ปรับตัวขึ้นหลายเท่าตัว ดังที่กล่าวข้างต้น

คำถามที่ผมจะถูกถามคือ ราคาหุ้นเอไอนั้น เข้าสู่ภาวะฟองสบู่หรือสูงเกินจริงใช่หรือไม่ ผมเองก็อาจสามารถประเมินได้อย่างถูกต้อง แต่ในความเห็นของผมนั้น ราคาหุ้นเอไอส่วนใหญ่แพงมากจนหุ้นเอไอหลายตัวน่าจะทำให้นักลงทุนผิดหวังมากกว่าทำให้นักลงทุนสมหวัง 

(คงจะมีหุ้นเอไอน้อยตัวที่จะไม่ทำให้นักลงทุนต้องผิดหวัง นักวิเคราะห์ที่เก่งจริงคือคนที่สามารถเลือกหุ้นดังกล่าวได้อย่างแม่นยำ) เห็นได้จากการที่หุ้นเอไอที่เป็นหุ้นหลัก เช่น Nvidia มีราคาต่อกำไร (price to earnings ratio หรือ พีอี) สูงถึง 47 เท่าเทียบกับพีอีของตลาด S&P 500 ที่ 28 เท่า กล่าวคือ การซื้อหุ้นเอไอนั้นเป็นการซื้ออนาคตที่คาดหวังว่าจะสดใสอย่างมาก

แต่สิ่งที่ผมอยากเขียนถึงในวันนี้อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวข้องคือ ความสำคัญของตลาดหุ้นในการขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศ เพราะขนาดของตลาดหุ้นและทิศทางของตลาดหุ้น ย่อมจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนศักยภาพเพื่อการขยายตัวและการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ

ตัวอย่างเช่น การที่ราคาหุ้น Nvidia เพิ่มขึ้นจนทำให้มูลค่าหุ้นของ Nvidia วันนี้เท่ากับ 4.3 ล้านล้านเหรียญ (หรือกว่า 14% ของจีดีพี สหรัฐ) แปลว่า นักลงทุนทั่วโลกกำลังสนับสนุนให้ Nvidia สามารถระดมทุนและทรัพยากรจำนวนมหาศาล ในการขับเคลื่อนการพัฒนาเอไอ

เพื่อให้สหรัฐเป็นผู้นำในด้านนี้ และประชาชนคนอเมริกันก็จะได้ผลประโยชน์มากที่สุดจากเทคโนโลยีดังกล่าว ที่ทุกคนกำลังยกย่องว่า เป็น game changer ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกในอนาคต

กล่าวโดยสรุปคือ การขยายตัวและขนาดของตลาดหลักทรัพย์ คือ การสะท้อนการขยายตัวและขนาดของการลงทุนของประเทศในการที่จะปรับโครงสร้างและเพิ่มพูนความเจริญรุ่งเรืองของเศรษฐกิจในอนาคต ดังนั้น ผมจึงได้นำเอาสถิติเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยกับสหรัฐฯ มาดูขนาดและการขยายตัว โดยเปรียบเทียบกับจีดีพี เห็นได้จากรูป

ความสำคัญของตลาดหุ้น ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

จะเห็นได้ว่า ในกรณีของสหรัฐนั้นมูลค่าของหุ้นในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด เมื่อเทียบกับจีดีพีโดยเฉพาะตั้งแต่ปลายปี 2022 หลังจากการเปิดตัวของกล่าวคือ มูลค่าหุ้นโดยรวมได้เพิ่มขึ้นจาก 32.13 ล้านล้านเหรียญ มาเป็น 57.05 ล้านล้านเหรียญตอนเดือนกันยายน 2025 กล่าวคือเพิ่มขึ้นถึง 77.6% ภายในเวลาไม่ถึง 3 ปี ในขณะที่จีดีพีของสหรัฐขยายตัวเพียง 13.9% ในช่วงเวลาเดียวกัน

แต่สำหรับประเทศไทยนั้น กลับตรงกันข้าม กล่าวคือ ในช่วงเวลาเดียวกันแม้จีดีพีจะเพิ่มขึ้นได้อย่างช้าๆ คือ 10.7% จาก 17.38 ล้านล้านบาท มาเป็น 19.24 ล้านล้านบาท แต่มูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของไทยกลับลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ คือลดลงถึง 27.2% จาก 20.44 ล้านล้านบาท มาเป็น 16.07 ล้านล้านบาท

กล่าวคือ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับข้อจำกัดในการระดมทุนและจัดสรรทรัพยากรที่จะมาขยายกิจการ และปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจโดยรวม

อีกตัวแปรหนึ่งที่สามารถนำไปใช้วัดศักยภาพของบริษัทในตลาดในการทำให้ธุรกิจและกำไรขยายตัว (นอกจากการดูพีอี) คือ การดูราคาหุ้นต่อมูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้น (price to book ratio) ซึ่งผมได้นำข้อมูลในอดีตสมัยที่เศรษฐกิจไทยรุ่งเรืองตั้งแต่ตั้งแต่ปี 1990 มาให้ เปรียบเทียบดูดังปรากฏในรูป ความสำคัญของตลาดหุ้น ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

จะเห็นได้ว่าสมัยก่อนในช่วงทศวรรษ 90 นั้น ราคาหุ้นไทยสูงกว่ามูลค่าสินทรัพย์ต่อหุ้นถึง 3-4 เท่าตัว เพราะนักลงทุน "ซื้อ” อนาคตที่สดใสของบริษัทและเศรษฐกิจไทย และโดยเฉลี่ยมูลค่าสินทรัพย์ต่อหุ้นของหุ้นไทยนั้นอยู่ที่ 1.96 เท่า 

แต่ล่าสุดราคาหุ้นไทยสูงกว่ามูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหุ้นเพียง 18% เท่านั้น แปลว่า บริษัทของไทย (ทั้งบริษัทที่อยู่ในตลาด และบริษัทใหม่ที่คิดจะเข้าตลาด) จะระดมทุนขายหุ้นได้ในราคาที่ไม่สูงนัก การระดมทุนเพื่อขยายกิจการหรือปรับโครงสร้าง จึงจะทำได้อย่างมีข้อจำกัดครับ