กนอ. เผยปะทะเดือดชายแดน โรงงานนิคมฯ สระแก้ว หนีตายเหลือไม่ถึง 10%

ปะทะเดือดชายแดนระหว่าง "ไทย-กัมพูชา" รอบ 2 ฉุด "นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว" ชะงัก อพยพบออกจากพื้นที่ ทำโรงงานเหลือไม่ถึง 10%
สถานการณ์ชายแดน "ไทย–กัมพูชา" ที่ทวีความรุนแรง ไม่ได้ส่งผลเฉพาะด้านความมั่นคงเท่านั้น แต่เริ่มกระเทือนภาคการผลิตอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว โดยเฉพาะ “นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว” ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้จุดปะทะ ล่าสุดผู้ประกอบการหลายรายจำเป็นต้อง “หยุดดำเนินกิจการชั่วคราว” เพื่อความปลอดภัยของแรงงานและทรัพย์สิน ส่งผลให้สายการผลิตและการขนส่งสินค้าถูกชะงัก กระทบห่วงโซ่อุปทานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สถานการณ์นี้กำลังสร้างความวิตกให้กับภาคอุตสาหกรรมและนักลงทุนในพื้นที่ เนื่องจากยังไม่สามารถประเมินได้ว่าสถานการณ์ปะทะจะยืดเยื้อเพียงใด ขณะที่มาตรการรองรับจากภาครัฐยังต้องเร่งเดินหน้าเพื่อจำกัดความเสียหายทางเศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวถึงสถานการณ์ที่นิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดสระแก้วว่า พื้นที่นี้เป็นพื้นที่อ่อนไหวมาโดยตลอด และอุตสาหกรรมก็ไม่ดีตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปิดชายแดน สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้คือ เรื่องของชีวิตประชาชน ทั้งนี้ กนอ. ได้สั่งการให้ข้าราชการย้ายไปที่บ่อทอง 33 และให้ผู้ประกอบการย้ายพนักงานไปอยู่ที่ อบจ. สระแก้ว ขณะนี้ มีเพียงหน่วยกล้าตายบางหน่วยที่ยังคงเฝ้ารักษาพื้นที่ไว้เพื่อป้องกันการโจรกรรม
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด ทำให้จำนวนโรงงานที่ประกอบกิจการอยู่ที่สระแก้วลดลงอย่างมาก โดยปัจจุบันเหลือไม่ถึง 10% และมีโรงงานเหลือเพียง 4 ราย ที่ยังคงมีสัญญาเช่าอยู่ และอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อย้ายออกเป็นการชั่วคราวตามคำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อความปลอดภัย หากสถานการณ์ยืดเยื้อ การย้ายโรงงานเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะการลงทุนในอุตสาหกรรมมีมูลค่าสูง
อย่างไรก็ตาม กนอ. จะยังคงผลักดันนโยบายสำหรับสระแก้วต่อไป เพราะประเทศไทยยังต้องการโรงงานที่ตั้งอยู่บริเวณชายแดน โดย กนอ. มองเป็นโอกาสที่จะช่วยสนับสนุนชุมชนในด้านการจ้างงาน และจะมีการจัดทำแผนงานเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงต่อไป
นายสุเมธ กล่าวว่า แม้ว่าเหตุปะทะชายแดนจะยังไม่จบในเวลานี้ แต่กนอ. จะบริหารจัดการพื้นที่ในนิคมฯ สระแก้ว อย่างต่อเนื่อง เพื่อดูแลเศรษฐกิจชุมชน ประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มกำลัง พร้อมจะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาใช้ในนิคฒฯ เพื่อมุ่งใช้ Data Analytics ยกระดับดูแลสุขภาพแรงงานและชุมชน เพื่อเก็บข้อมูล เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเรื่องสุขภาพมนุษย์ได้ แม้ กนอ. จะตรวจสอบและออกแบบโรงงาน แต่การเก็บข้อมูล (data) ด้านสุขภาพเหล่านี้ต้องใช้เวลา การมีเครื่องมือเช่นนี้จะทำให้มีข้อมูลที่เยอะขึ้น
"วันนี้ กนอ. ได้พยายามออกนโยบายเรื่องการกำกับดูแลด้วยเทคโนโลยีอยู่แล้ว การใช้ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์เหล่านี้ ทำให้ กนอ. สามารถกำหนดได้ว่าพื้นที่ใดที่ต้องไปตรวจเข้ม หรือพื้นที่ใดที่ต้องเฝ้าระวัง" นายสุเมธกล่าว
ทั้งนี้ กนอ. จะพยายามแม้จะมีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง แต่อุตสาหกรรมยังคงต้องรับผิดชอบต่อชุมชนและสังคม การบริหารจัดการจึงต้องมีการ รักษาสมดุลระหว่างสิ่งแวดล้อม ชุมชน สุขภาพ และอุตสาหกรรมให้สมดุลและยั่งยืน












