3 ปัจจัย 'เสี่ยง-หนุน' ธุรกิจพลังงาน 'กฟผ.' เร่งปรับเกมสู่เป้า Net Zero

3 ปัจจัย 'เสี่ยง-หนุน' ธุรกิจพลังงาน 'กฟผ.' เร่งปรับเกมสู่เป้า Net Zero

"กฟผ." ชี้ 3 ปัจจัยเสี่ยง-ปัจจัยหนุน ธุรกิจพลังงานปีหน้า เร่งปรับเกมมุ่ง "Net Zero ปี 2050" พร้อมคุมต้นทุนเชื้อเพลิง LNG

KEY

POINTS

  • ปัจจัยหนุนธุรกิจพลังงานมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดันความต้องการใช้ไฟฟ้าโต 3-4% อุณหภูมิที่สูงขึ้น และการเปิดเสรีกิจการไฟฟ้าที่สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่
  • เผชิญ 3 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กระทบราคา LNG การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ และความท้าทายในการแข่งขันระดับโลกที่ต้องเร่งปรับตัวสู่พลังงานสะอาดให้ทันคู่แข่ง
  • เร่งปรับกลยุทธ์สู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 (จากเดิมปี 2065) เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานสะอาดผ่านโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำในเขื่อนหลัก 3 แห่ง พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ และเตรียมโรงไฟฟ้าให้พร้อมใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจน

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กำลังเผชิญกับภารกิจสำคัญในการนำพาประเทศไทยเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) ซึ่งเป็นกระแสที่ขับเคลื่อนโดยเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและความจำเป็นในการรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

นายนรินทร์ เผ่าวณิชย์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงทิศทางและกลยุทธ์ด้านพลังงานในปี 2569 โดยเน้นย้ำถึงการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างรวดเร็ว เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการเสถียรภาพด้านต้นทุนเชื้อเพลิง โดยเฉพาะการจัดหา LNG ระยะยาว เพื่อลดความผันผวนของค่าไฟฟ้า ขณะเดียวกัน ได้ชี้ให้เห็นถึง "ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยบวก" ที่ธุรกิจพลังงานต้องเผชิญ

ปัจจัยบวก "เศรษฐกิจฟื้น-อากาาศร้อน" ดันการใช้ไฟ

ผู้ว่าการ กฟผ. ระบุถึง "ปัจจัยบวก" (Positive Factors) สำหรับธุรกิจพลังงานที่มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยรวมจะเติบโตขึ้นประมาณ 3-4% ในปีหน้า ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ อุณหภูมิที่สูงขึ้นยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่หนุนให้ความต้องการใช้พลังงานเพิ่มขึ้น

เปิดเสรีโอกาสใหม่ การเปิดเสรีกิจการไฟฟ้าและการมี Third Party Access จะสร้างโอกาสให้ กฟผ. พัฒนารูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ธุรกิจบริการเสริมด้านความมั่นคงของระบบ (Ancillary Services) เพื่อดูแลเสถียรภาพของโครงข่าย

3 ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตา

อย่างไรก็ตาม ยังมี "ปัจจัยเสี่ยง" (Risk Factors) 3 ด้านที่ กฟผ. และธุรกิจพลังงานต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด ประกอบด้วย

1. ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Instability) สถานการณ์ความไม่สงบและความรุนแรงในภูมิภาคต่าง ๆ (เช่น กรณีรัสเซีย-ยูเครน) ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณการจัดหาและ ราคา LNG ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าสูงขึ้น

2. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ (Climate Change) ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น เช่น แผ่นดินไหว ลมพายุ และน้ำท่วม จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity) และความมั่นคงของทรัพยากร

3. ความท้าทายในการแข่งขันระดับโลก หากประเทศไม่มีการปรับตัวและเร่งเป้าหมาย Net Zero ให้ทันคู่แข่งในภูมิภาค (สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งประกาศเป้าหมายปี 2050 เช่นกัน) จะส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง เพราะธุรกิจสมัยใหม่จะหันมาพึ่งพาพลังงานสีเขียวมากขึ้น

 

กลยุทธ์หลัก เร่ง Net Zero และบริหารต้นทุน

อย่างไรก็ตาม กฟผ. ได้วางกลยุทธ์หลักเพื่อรับมือกับความท้าทายและเสริมสร้างความมั่นคงในระบบไฟฟ้า แบ่งเป็น 2 ด้านสำคัญ คือ

1. เร่งขับเคลื่อนสู่ Net Zero และพลังงานสะอาด ทั้งนี้ กฟผ. จะเร่งรัดเป้าหมาย Net Zero จากปี 2065 เป็นปี 2050 เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเน้นการเพิ่มสัดส่วนพลังงานสีเขียว อาทิ

  • โครงการโซลาณ์เซลล์ลอยน้ำ Solar Floating ขนาดใหญ่ โดยเร่งรัดโครงการโซลาร์เซลล์ลอยน้ำที่เขื่อนหลัก 3 แห่ง ได้แก่ เขื่อนภูมิพล (158 เมกะวัตต์), เขื่อนศรีนครินทร์ (140 เมกะวัตต์), และเขื่อนวชิราลงกรณ (50 เมกะวัตต์) โดยมีกำลังการผลิตรวมประมาณ 1,638 เมกะวัตต์
  • โรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ พัฒนาโครงการเพิ่มเติม 3 แห่ง เพื่อทำหน้าที่เป็น แหล่งกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ (Grid-Scale Battery) รองรับความผันผวนของพลังงานแสงอาทิตย์
  • เชื้อเพลิงไฮโดรเจน เตรียมพร้อมโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับการใช้เชื้อเพลิงในระยะยาว โดยจะมีการใช้ ไฮโดรเจน ผสมกับก๊าซธรรมชาติ

2. การจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงและการบริหารระบบส่ง โดยการจัดหา LNG ระยะยาว ทั้งนี้ กฟผ. จะมุ่งเน้นการจัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ด้วยสัญญาซื้อขายระยะยาว 10-15 ปี ในปริมาณประมาณ 1 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มจัดหาตั้งแต่ต้นปีหน้า ซึ่งจะช่วยให้ราคาพลังงานลดลงและมีความเสถียรมากขึ้น

พร้อมยืดอายุโรงไฟฟ้าแม่เมาะ โดยตัดสินใจยืดอายุโรงไฟฟ้าแม่เมาะออกไปประมาณ 10 ปี ด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์หลัก เพื่อรักษาโรงไฟฟ้าต้นทุนต่ำให้สามารถเดินเครื่องต่อไปได้

วางงบลงทุน 2.2 หมื่นล้านบาท สำหรับแผนลงทุนปี 2569 กฟผ. มีงบประมาณการลงทุนประมาณ 22,000 ล้านบาท โดยเน้นการขยายระบบส่งเป็นหลักกว่า 10,000 ล้านบาท

พร้อมขยายระบบส่งรองรับ EEC การขยายระบบส่งจะมุ่งเน้นการรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ EEC ซึ่งมีศูนย์ข้อมูล (Data Center) เข้ามาจำนวนมาก คาดว่าจะขยายความสามารถในการจ่ายไฟเพิ่มขึ้น 1,750 เมกะวัตต์ ภายในช่วงครึ่งปีหน้า

แนวโน้มราคาพลังงานและหนี้ค่า Ft

นายนรินทร์ ประเมินว่า หากไม่มีเหตุการณ์ความตึงเครียดหรือสงครามที่รุนแรง ราคาพลังงานโลก (LNG) ในปีหน้าน่าจะรักษาเสถียรภาพอยู่ที่ระดับประมาณ 11-12 ดอลลาร์ ซึ่งความเสถียรของราคาจะช่วยให้ กฟผ. ทยอยเรียกคืนหนี้คงค้างค่าเชื้อเพลิง (หนี้ค่า Ft) ที่เหลืออยู่ประมาณ 40,000 กว่าล้านบาท และคาดว่าจะได้คืนทั้งหมดภายในปี 2570 โดยจะบริหารหนี้ส่วนนี้ควบคู่ไปกับการรักษาค่าไฟฟ้าให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด

นอกจากนี้ กฟผ. ยังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ โดยการเป็น AI-centric organization เพื่อเสริมการทำงานของมนุษย์ ทำให้การทำงานง่ายขึ้น มีประสิทธิภาพ และมีการจัดการข้อมูลที่ดีขึ้น