เปิดแผนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ‘บีโอไอ’ชงบอร์ด ธ.ค.นี้ ดึงลงทุน 5 แสนล้าน

เปิดแผนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ  ‘บีโอไอ’ชงบอร์ด ธ.ค.นี้ ดึงลงทุน 5 แสนล้าน

แผนยุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ เตรียมเข้าบอร์ด ธ.ค. นี้ ตั้งเป้าศูนย์กลางภูมิภาค พร้อมดึงดูด FDI 5 แสนล้าน ภายในปี 2029

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่าในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ระหว่างจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงของประเทศ และกำลังเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญ ภายหลังจากมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นไปก่อนหน้านี้แล้วได้เตรียมที่จะนำเสนอแผนและความคิดเห็นต่อที่ประชุมบอร์ดเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีการประชุม ภายในเดือนธันวาคมนี้เป็นนัดแรกของรัฐบาลปัจจุบัน โดยนอกจากเสนอแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงของประเทศไทย ยังจะมีการนำเสนอแผนพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับอุตสาหกรรมนี้ในอนาคต จากนั้นเมื่อบอร์ดเห็นชอบแล้วจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

“แผนนี้ไม่ได้ครอบคลุมเพียงแค่เซมิคอนดักเตอร์เท่านั้น แต่รวมถึง อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ด้วยซึ่งถือเป็นการมองภาพรวมและพัฒนาฐานอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้ครบวงจร โดยเซมิคอนดักเตอร์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ถือเป็น หัวใจสำคัญของอุปกรณ์ที่สำคัญทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ อุปกรณ์โทรคมนาคม เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องมือแพทย์ หรือแม้แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ ล้วนต้องมีชิปและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแผนนี้ถือเป็นการมองภาพในระยะยาวแม้ตลาดระยะสั้นจะมีความผันผวน แต่อุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคต”นายนฤตม์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่ายุทธศาสตร์เซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติที่บีโอไอเปิดรับฟังความคิดเห็นอยู่ในขณะนี้มีการกำหนดเป้าหมายหลักของ คือการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น "ศูนย์กลางอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับภูมิภาค" ภายในปี 2050 พร้อมกับการเสริมสร้างผู้ประกอบการไทย (Local Champion) ในอุตสาหกรรมนี้ และพัฒนาห่วงโซ่มูลค่า (ซัพพลายเชน) ของเซมิคอนดักเตอร์ให้ครบวงจรและยั่งยืน

โดยแผนยุทธศาสตร์นี้ถูกกำหนดขึ้นภายใต้แนวคิดที่ว่าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์คือโอกาสในรอบศตวรรษ  และหากประเทศไทยล่าช้า โอกาสนี้อาจจะหายไปอีกหลายทศวรรษเพราะประเทศอื่นๆได้มีการทำแผนในการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ไว้แล้ว ทำให้ประเทศผู้ลงทุนอาจตัดสินใจไปลงทุนในประเทศอื่นๆ แทนที่จะเป็นประเทศไทย

สำหรับเป้าหมายสำหรับการดึงดูดการลงทุนแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ปี ค.ศ. 2026–2030 ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาท (เทียบเท่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์) ภายในปี 2029 พัฒนาบุคลากรเฉพาะทาง รวมถึงนักวิจัยระดับสูงให้ได้รวม 86,000 คน

ระยะที่ 2 คือตั้งแต่ปี 2031 – 2050 รายได้ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง คาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ  และมูลค่าเงินลงทุนสะสม: ประมาณ 42,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีจำนวนบุคลากรในอุตสาหกรรมนี้มากกว่า 120,000 คน

นอกจากนั้นยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาห่วงโซ่มูลค่า โดยต้องมี

  • โรงงานประกอบชิปขั้นพื้นฐาน (Back-end แบบดั้งเดิม) จำนวน 30 แห่ง
  • โรงงานประกอบชิประดับสูง (Advanced Back-end) จำนวน 10 แห่ง
  • บริษัทออกแบบชิป (IC Design) จำนวน 55 แห่ง
  •  โรงงานผลิตแผ่นเวเฟอร์ซิลิคอนชิประดับดั้งเดิม (Front-end รุ่นเก่า / Legacy-node Fab) จำนวน 5 แห่ง

ทั้งยี้กลยุทธ์ของประเทศไทยในอุตสาหกรรมนี้คือการ ต่อยอดจุดแข็งเดิม และ เสริมสร้างขีดความสามารถใหม่ โดยในส่วนการต่อยอดจุดแข็ง จะยกระดับขีดความสามารถในภาคส่วนการประกอบและทดสอบชิป (Back-end)

โดยมุ่งเน้นการผลิตชิปประเภท Power, Optoelectronics, และ Sensor, ส่วนการเสริมสร้างขีดความสามารถแข่งขันใหม่จะเน้นที่การดึงดูดเทคโนโลยีขั้นสูง โดยดึงดูดผู้นำเทคโนโลยีระดับโลกเข้ามาลงทุนในภาคส่วนสำคัญเชิงกลยุทธ์ เช่น โรงงานผลิตแผ่นเวเฟอร์สำหรับชิปที่ใช้เทคโนโลยีโหนดการผลิตเก่า (Legacy-node Front-end Fab) โรงงานผลิตแผ่นเวเฟอร์เฉพาะทาง (Specialty Front-end) รวมถึงการพัฒนา IC Design และ Advanced Back-end รวมถึงการผลักดันและพัฒนาอุตสาหกรรมต้นน้ำให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้ห่วงโซ่มูลค่าครอบคลุมทุกภาคส่วนต่อไป