TKC และ มจธ. รุกเกษตรอัจริยะ สร้างนวัตกรรมใช้งานง่าย ตรงตลาด ตอบโจทย์การทำเกษตร

TKC และ มจธ. รุกเกษตรอัจริยะ สร้างนวัตกรรมใช้งานง่าย ตรงตลาด ตอบโจทย์การทำเกษตร

TKC รุกเกษตรอัจริยะ จับมือ มจธ. สร้างนวัตกรรมใช้งานง่าย ตรงตลาด ตอบโจทย์ ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน เพื่อเพิ่มศักยภาพ รายได้ และยกระดับภาคเกษตรไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการเกษตรโลก

เกือบทุกรัฐบาลที่ผ่านมาจนถึงรับฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คำปราศรัยในวันเกษตรกรประจำปี พ.ศ. 2568 ยังมุ่งเป้าในการพัฒนาภาคเกษตรกรรมของประเทศให้ก้าวหน้า และยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย ด้วยแนวคิดนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการเกษตรมาใช้พัฒนาอาชีพของชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน และอาชีพที่เกี่ยวข้องให้เข้มแข็ง เพิ่มศักยภาพ เพิ่มรายได้ และยังฝันไกลถึงยกระดับให้ภาคเกษตรไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการเกษตรของโลก หรือ Agricultural Hub

ขณะเดียวกันหน่วยงานวิจัยของรัฐหลายสถาบันต่างสนองนโยบายนี้ สถาบันการศึกษาหนึ่งที่มีแนวคิดในทางเดียวกันคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) มหาวิทยาลัยไทยที่ติดอันดับโลกด้านวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี 5 ปีซ้อน จับมือกับ บริษัท เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ TKC หลังจากประสบความสำเร็จโครงการรถไฟฟ้าไร้คนขับ ต้นแบบเทคโนโลยี 5G คันแรกของประเทศไทย ได้ขยายทำวิจัยต่อยอดนวัตกรรมการเกษตรอย่างยั่งยืนอีก 2 โครงการ ได้แก่ "โครงการวิจัยและพัฒนาโรงเรือนอัจฉริยะสำหรับปลูกมะเขือเทศเชอรี่ในระบบไฮโดรโปนิกส์" และ "โครงการเรือไฟฟ้าสำหรับรดน้ำในร่องสวนชนิดไร้คนขับ" ทั้งสองโครงการมีเป้าหมายเพื่อยกระดับเกษตรกรไทยด้วยนวัตกรรมอัตโนมัติที่แม่นยำ และเก็บข้อมูลจริงจัง ภาคสนามนำมาพัฒนาเป็นระบบ AI เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาทางด้านผลผลิตและควบคุมต้นทุน 

จุดประกาย "เรือรดน้ำไฟฟ้าสมาร์ต"

จากประวัติศาสตร์ดั้งเดิมพื้นที่รอบๆ มจธ. ที่เรียกกันว่า "บางมด" (พื้นที่ในเขตทุ่งครุ, ราษฎร์บูรณะ และเขตบางขุนเทียน) ต่างเป็นพื้นที่เรือกสวนไร่นา ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวสวนปลูกผลไม้ที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น มะพร้าวน้ำหอม ส้มเขียวหวานบางมด ส้มโอ ฯลฯ

ปรากฏว่า ยิ่งนานวันจำนวนเกษตรกรและพื้นที่เกษตรกรรมมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ จากสาเหตุหลายประการ อาทิ ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ขาดแคลนแรงงานและผู้สืบทอดอาชีพ ปัจจุบันยังคงมีชาวสวนประมาณ 35,874 หลังคาเรือน เมื่อคณะวิจัยทั้ง มจธ. และ TKC ลงพื้นที่สำรวจ พบว่า พื้นที่เพาะปลูกเป็นแบบยกร่อง ชาวสวนนิยมใช้ "เรือรดน้ำ" ชนิดติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน กระจายน้ำไปยังพืชผักไม้ผล ปัญหาสำคัญคือต้นทุนค่าพลังงานสูงมาก ต้องใช้น้ำมันเบนซิน 15 ลิตร ต่อไร่ต่อเดือน ดังนั้น จึงเกิดความคิดพัฒนา "เรือรดน้ำไฟฟ้าสำหรับรดน้ำในร่องสวน" ซึ่งตรงกับความต้องการของชาวสวน ที่ต้องการลดต้นทุนค่าพลังงานและไม่เกิดมลพิษ คณะวิจัยเข้าสำรวจพื้นที่เก็บข้อมูลสภาพแวดล้อม และตรวจสอบขนาดของเรือรดน้ำไฟฟ้าเพื่อออกแบบระบบการควบคุมสร้างโมเดลสำหรับใช้งาน

พงศ์วุฒิ คู่วิมล วิศวกร บริษัท TKC อธิบายว่า การออกแบบเปลี่ยนจากการควบคุมทำงานด้วยคนเป็นการทำงานในรูปแบบกึ่งอัตโนมัติ และระบบอัตโนมัติ (IoT-Internet of Things) โดยระบบสามารถควบคุมเรือรดน้ำให้เคลื่อนที่ภายในร่องสวน และสามารถสื่อสารข้อมูลจากระบบเซนเซอร์ เพื่อตอบสนองต่อปริมาณความต้องการน้ำของพืช โดยสั่งการผ่านรีโมตคอนโทรล จะทำให้ชาวสวนรดน้ำพืชสวนได้อย่างมีประสิทธิภาพตรงกับความต้องการของพืช 

"วิธีการนี้สามารถแก้ไขปัญหาขาดแคลนน้ำได้อย่างเหมาะสม ขณะเดียวกันก็ช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานด้วย ที่สำคัญเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับเรือรดน้ำไม่ยุ่งยากซับซ้อนจนเกินไป ชาวสวนสามารถเรียนรู้ได้ง่ายและรวดเร็ว ที่สำคัญถ้าใช้เบนซินค่าพลังงาน 35 บาท/ลิตร แต่ถ้าเป็นไฟฟ้าประมาณ 5 บาท/หน่วย ซึ่งถูกกว่ากันมาก 

TKC และ มจธ. รุกเกษตรอัจริยะ สร้างนวัตกรรมใช้งานง่าย ตรงตลาด ตอบโจทย์การทำเกษตร

อย่างไรก็ตาม การวิจัยนี้ยังต้องหารือกับกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่บางมด และอุตสาหกรรมมะพร้าวน้ำหอมราชบุรีอีก เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีให้ลงตัวที่สุดและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

สำหรับพื้นที่ที่ทำการเกษตรในบางมด มีประมาณ 30,000 ไร่ ส่วนมากรู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งปลูกส้มเขียวหวานบางมด แม้ว่าปัจจุบันการทำสวนส้มจะลดน้อยลงไปมาก แต่พื้นที่นี้ยังคงมีศักยภาพในการปลูกผลไม้อย่างอื่น เช่น มะพร้าวน้ำหอม ส้มโอ ลิ้นจี่ เป็นต้น

ยิ่งกว่านั้นมีการวิจัยว่าหากมีการบริหารจัดการน้ำที่เหมาะสม สวนส้มบางมดจะสามารถฟื้นกลับคืนมาได้อีกครั้ง

TKC และ มจธ. รุกเกษตรอัจริยะ สร้างนวัตกรรมใช้งานง่าย ตรงตลาด ตอบโจทย์การทำเกษตร

โรงเรือนอัจฉริยะพลิกโฉมเกษตร

แน่นอนว่า การค้นคว้าวิจัยเพื่อการเกษตรของ มจธ. และ TKC มุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาวิถีเกษตรแบบดั้งเดิมสู่การใช้ข้อมูล เทคโนโลยี และนวัตกรรมในการขับเคลื่อนการผลิต ลดความเสี่ยง และยกระดับคุณภาพผลผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ ดังนั้น นอกเหนือจากเมล่อนที่เคยวิจัยแล้ว ยังได้ต่อยอดมาเป็น "มะเขือเทศเชอรี่"

TKC และ มจธ. รุกเกษตรอัจริยะ สร้างนวัตกรรมใช้งานง่าย ตรงตลาด ตอบโจทย์การทำเกษตร

หนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่มีศักยภาพสูง ด้วยจุดเด่นด้านรสชาติ คุณค่าทางโภชนาการ และความต้องการในตลาดพรีเมียม แต่ระบบการปลูกแบบแปลงเปิดในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในการควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และธาตุอาหารในดิน ทำให้การผลิตและคุณภาพผลผลิตไม่สม่ำเสมอ จึงเกิดโครงการวิจัยมุ่งพัฒนา "ระบบต้นแบบโรงเรือนอัจฉริยะ" ร่วมกับ "ระบบไฮโดรโปนิกส์" เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้แม่นยำตลอดปี ลดความเสี่ยงจากโรคพืช ปรับปรุงคุณภาพผลผลิต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรกรรมไทย

นางสาวสรัสวดี ด่านวรประเสริฐ วิศวกร บริษัท TKC ผู้ดูแลโรงเรือน กล่าวว่า TKC ร่วมกันออกแบบและทดสอบระบบโรงเรือนที่เน้นการใช้ ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีระบบควบคุมอัตโนมัติ เพื่อให้การผลิตพืชผักคุณภาพสูงของไทยก้าวเข้าสู่ระบบเกษตรอัจฉริยะในระดับสากลได้อย่างเป็นรูปธรรม ตัวโรงเรือนต้นแบบติดตั้ง 2 แห่ง คือภายในสำนักงานใหญ่ของทีเคซี บนพื้นที่กว่า 60 ตารางเมตร เป็นพื้นที่ควบคุมอัจฉริยะ ทั้งควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น แสงสว่าง ระบบรดน้ำอัตโนมัติ ทุกอุปกรณ์จะถูกเชื่อมโยงเข้าสู่ระบบแพลตฟอร์ม เพื่อปรากฏผลและสั่งดำเนินการแบบเรียลไทม์ ขณะเดียวกันมจธ. ก็ได้สร้างโรงเรือนอีกแห่งหนึ่งในพื้นที่จังหวัดราชบุรี

TKC และ มจธ. รุกเกษตรอัจริยะ สร้างนวัตกรรมใช้งานง่าย ตรงตลาด ตอบโจทย์การทำเกษตร

เพื่อทดสอบประสิทธิภาพจากระบบควบคุมอัจฉริยะ ในสภาพอุณหภูมิที่หลากหลาย ทั้งในฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว ข้อมูลจากทั้งหมดจะรวบรวมและเปรียบเทียบร่วมกับโรงเรียนต้นแบบของทีเคซี บริษัทฯ และมหาลัยทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นจากในพื้นที่ และปรับปรุงระบบให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมจริง ข้อมูลทั้งหมดจะวิเคราะห์แล้วนำกลับไปใช้พัฒนาระบบในโรงเรือนอัจฉริยะอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเพิ่มอัตราการเติบโตของพืชและลดการใช้น้ำให้เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมจริง และลดผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ได้ผลผลิตที่แข็งแรงเติบโตได้ดีและสร้างมาตรฐานตามที่ตลาดต้องการ นับว่าจะพลิกโฉมการเกษตรของไทยตามวิถีดั้งเดิมสู่การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการขับเคลื่อนผลผลิต

ปิยะ จิราภาพงศา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ความร่วมมือของบริษัทฯ และมจธ. เริ่มต้นมาสองปีแล้ว  ปัจจุบันเริ่มทำวิจัยโครงการด้านพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับเกษตรอัจฉริยะร่วมกัน โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านระบบดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ ร่วมมือกับคณาจารย์ของมจธ. ซึ่งมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในระบบการเกษตรเป็นอย่างดี เพื่อวิจัยพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมด้านเกษตรอัจฉริยะใหม่ๆ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่เพาะปลูกภาคตะวันตกที่อยู่ใกล้เคียงกับ มจธ. วิทยาเขตราชบุรี อันเป็นพื้นที่เพาะปลูกที่มีความสำคัญของประเทศ

"เราแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลด้านเทคโนโลยีร่วมกัน แล้วต่อความรู้ให้กับชุมชน เชื่อว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบบการผลิตภาคเกษตรของประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มผลผลิต เพิ่มรายได้ และลดรายจ่ายให้แก่เกษตรกรได้อย่างแท้จริง" ปิยะ กล่าว

ดร.สุวิทย์ แซ่เตีย อธิการบดี มจธ. กล่าวว่า เทคโนโลยีที่ให้ชาวบ้านใช้ต้องไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน สิ่งที่เรามุ่งหวังกับการลงนาม MOU ครั้งนี้ คือความร่วมมือในระยะยาว พันธมิตรภาคเอกชนจะทำให้เราเข้าใจโจทย์หรือความต้องการภาคเอกชนชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันเราก็รู้ความต้องการของเกษตรกรที่อยู่รอบมหาวิทยาลัย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวสวนที่มีอยู่เดิม ทั้งที่บางมดและที่ราชบุรี  อีกทั้งเป็นการนำเอาเทคโนโลยี AI มาก่อให้เกิดประโยชน์กับภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะเราเองต้องการยกระดับเกษตรกรรมของประเทศให้ขึ้นไปเป็น 4.0 การทำแบบนี้ จึงเริ่มจากเทคโนโลยีที่ไม่ยุ่งยากนัก แล้วเราค่อยๆ ปรับให้มีความสมาร์ทมากขึ้น ก็จะช่วยให้เกษตรกรปรับตัวได้ทัน แต่ถ้าอยู่ๆ ไปเอาเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนถึงแม้จะดี แต่อาจจะเกิดปัญหากับเกษตรกรผู้ใช้ได้ เพราะเขาตามเทคโนโลยีไม่ทัน เพราะฉะนั้นเรื่องอย่างนี้ถ้าเราร่วมกับภาคเอกชน ค่อยๆ ศึกษาความต้องการของภาคเกษตรกรรม ภาคการตลาด แล้วทำงานร่วมกันระยะยาวจะเป็นประโยชน์ที่ดีมาก

ดร.สุวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการที่ทำกับทีเคซีทั้ง 2 โครงการ คุยกันว่า จะเดินหน้าต่อเพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่แม่นยำมากขึ้น แล้วเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นบริษัทฯ สามารถไปทำผลิตภัณฑ์ให้เกษตรกรเลือกได้ ทั้งสองโครงการนี้พอถึงจุดหนึ่งจะได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ตอนนี้เรื่องราคา เรื่องความแม่นยำอาจจะต้องทำต่ออีกนิดหน่อย แต่เท่าที่ทำวิจัยมาในเชิงการใช้งานได้ระดับหนึ่งแล้ว ถ้าหาจุดร่วมให้ได้ราคาถูก และการใช้งานต้องไม่ยุ่งยากนัก ไม่ใช่ใส่ทุกอย่างลงไป ยุ่งไปหมด แล้วคนจะไม่ใช้ 

"งานวิจัยที่ มจธ. ทำ เราพยายามจะใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับเกษตรกร ใช้ความต้องการของเกษตรกรเป็นตัวกำหนด ไม่ใช่มีอะไรแล้วไปยัดเยียดให้เขา เราต้องเข้าใจโจทย์ เข้าใจพฤติกรรมเกษตรกร เข้าใจวัฒนธรรมแนวคิดของเขาด้วย แล้วก็ต้องค่อยๆ ปรับ ไม่งั้นจะเกิดปัญหามากในการใช้เทคโนโลยีการวิจัยต้องสร้างองค์ความรู้ แล้วองค์ความรู้นี้จะนำไปใช้ประโยชน์อย่างไร อันนี้เป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศ ไม่ใช่แค่ตีพิมพ์แล้วหยุด เราพยายามปลูกฝังบุคลากรของเราว่าการวิจัยหรือเทคโนโลยีที่เราวิจัยต้องเหมาะสมกับการใช้งาน หลายครั้งราคาถูก แต่สำหรับเราประโยชน์ที่ได้ต้องมากกว่าราคาที่เพิ่ม" ดร.สุวิทย์ กล่าว

TKC และ มจธ. รุกเกษตรอัจริยะ สร้างนวัตกรรมใช้งานง่าย ตรงตลาด ตอบโจทย์การทำเกษตร