อีวาย ประเทศไทย จัดงานสัมมนาคณะกรรมการตรวจสอบประจำปี 2568

อีวาย ประเทศไทย จัดงานสัมมนาคณะกรรมการตรวจสอบประจำปี 2568 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของคณะกรรมการตรวจสอบให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเท่าทันต่อความเสี่ยงในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง
อีวาย ประเทศไทย ผู้ให้บริการด้านการตรวจสอบบัญชี ภาษี และที่ปรึกษาทางธุรกิจชั้นนำระดับโลก ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการยกระดับการกำกับดูแลกิจการของภาคธุรกิจไทย ให้สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างๆ ทั่วโลก ได้จัดงานสัมมนาคณะกรรมการตรวจสอบประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ "In the Winds of Change: เมื่อโลกเปลี่ยน ท่านจะปรับอย่างไร" นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความท้าทายจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าโลกในปัจจุบันที่ทวีความซับซ้อนขึ้น อีกทั้งเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลให้คณะกรรมการตรวจสอบต้องปรับบทบาทและกลยุทธ์ในการกำกับดูแล เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้สามารถดำเนินงานไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน งานสัมมนาได้รับเกียรติจาก รัตนา จาละ Country Managing Partner กล่าวเปิดงานและต้อนรับผู้เข้าร่วมสัมมนา ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ
เปิดเวทีสัมมนาช่วงแรกในหัวข้อ "The current Wind of change: Navigating challenges in Financial matters, ESG, Tax and Business Strategy" โดย เกษม เกียรติเสรีกุล หุ้นส่วนและหัวหน้าสายงานภาษีอากร ที่ได้ฉายภาพระบบการค้าเสรีขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่กำลังเผชิญกับความผันผวนอย่างมากจากการประกาศใช้นโยบาย Reciprocal Tariff ของสหรัฐ และยังถูกซ้ำเติมด้วยความผันผวนจากสงครามการค้า (Trade War) และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Conflict) ที่กำลังทวีความรุนแรงอยู่ในขณะนี้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เกษม เน้นย้ำให้ภาคธุรกิจเตรียมพร้อมปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสำคัญ 3 ประการ ที่จะเพิ่มต้นทุนทางภาษีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ได้แก่ 1. ภาษีศุลกากรของสหรัฐ (US Tariff) โดยเฉพาะความเข้มงวดในการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้า (Transhipment) 2. ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) มีการชะลอการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในบางภูมิภาค และ 3. ภาษีขั้นต่ำทั่วโลก (Global Minimum Tax) กำหนดให้บริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ต้องเสียภาษีส่วนเพิ่มในอัตรา 15%
ด้าน จักรพันธ์ อรรถพรมงคล หุ้นส่วนที่ปรึกษาด้านการวางแผนกลยุทธ์องค์กร EY-Parthenon เผยผลสำรวจ CEO ทั่วโลก ว่า ธุรกิจส่วนใหญ่ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนรอบด้านที่กำลังเผชิญในช่วงห้าปีที่ผ่านมาแล้ว โดยมีการปรับตัวสำคัญ 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1. ภูมิรัฐศาสตร์ - ชะลอการลงทุนหรือย้ายฐานการผลิต หรือแหล่ง Sourcing ไปยังตลาดใหม่ 2. ภาษีและการค้า - เน้นการทำ Domestic Sourcing หาตลาดและผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการลดต้นทุนเพื่อรักษาอัตรากำไร 3. เทคโนโลยี - ลงทุนใน AI มากขึ้นเนื่องจากเห็นผลลัพธ์ในเชิงบวก และ 4. การควบรวมกิจการและพันธมิตรทางธุรกิจ - โดยหันมาให้ความสำคัญกับการทำ Joint Venture มากขึ้น อย่างไรก็ตาม จักรพันธ์เน้นย้ำว่าองค์กรต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ควบคู่กับการบริหารจัดการและเตรียมรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เหล่านั้น
ต่อด้วยการเสวนาในหัวข้อ "Time of Uncertainties: How can Audit Committee cope with oversight with confidence" โดย วราพร ประภาศิริกุล หุ้นส่วนและหัวหน้าสายงานตรวจสอบบัญชี ได้กล่าวถึงการรายงานทางการเงินที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง ทั้งการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ (เช่น TFRS 17, TFRS 18, TFRS 19) รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน (IFRS S1/S2 และการประเมิน ESG จาก FTSE Russell) นอกจากนี้ วราพร กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้บริบททางเศรษฐกิจที่เปราะบางและมีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลให้ข้อมูลทางการเงินมีความซับซ้อนขึ้น งบการเงินของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งเริ่มมี Emphasis of Matters ในหน้ารายงานผู้สอบบัญชีที่ส่งสัญญาณถึงผู้ใช้งบการเงินในประเด็นสำคัญต่างๆ นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ควรให้ความสนใจเพิ่มขึ้นในการดูแลตัวเลขทางการเงิน เช่น การวัดมูลค่ายุติธรรม (Fair Value Measurement) รายการกำไรหรือขาดทุนพิเศษในงบกำไรขาดทุน (Non-recurring Items in Income Statements) รวมทั้งการดำเนินงานต่อเนื่อง (Going concern) ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และการตัดสินใจทำธุรกรรมต่างๆ ในสภาวะความไม่แน่นอนสูง
ขณะเดียวกัน สุมนา พันธ์พงษ์สานนท์ หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี เปิดเผยว่า การปรับกลยุทธ์ในภาวะผันผวนส่งผลกระทบเชิงตัวเลขในรายงานทางการเงินอย่างมีนัยสำคัญ โดยยกตัวอย่างการสำรวจบริษัทใน SET100 ที่พบรายการพิเศษ (Non-recurring Items) ที่เกิดขึ้นจากการปรับกลยุทธ์หรือโครงสร้างธุรกิจ มูลค่าสูงถึงหลักพันถึงหมื่นล้านบาท ซึ่งรายการพิเศษในบางกิจการมีผลกระทบถึงขั้นเปลี่ยนสถานะผลประกอบการได้ เช่น จากขาดทุนเป็นกำไรหรือในทางกลับกัน ทั้งนี้ สุมนา เน้นย้ำว่า คณะกรรมการตรวจสอบควรให้ความสำคัญกับการสอบทานเหตุผลเชิงกลยุทธ์ เบื้องหลังการทำรายการพิเศษเหล่านี้ เพื่อให้มั่นใจว่ารายการดังกล่าวตอบสนองต่อทิศทางขององค์กรและสร้างมูลค่าให้กับองค์กรอย่างแท้จริง ก่อนที่จะพิจารณาประเด็นทางบัญชี และหากรายการมีความซับซ้อน ควรปรึกษาผู้สอบบัญชีโดยทันที เพื่อให้มั่นใจในความถูกต้องของการบันทึกบัญชีและการเปิดเผยข้อมูล นอกจากนี้ การติดตามสถานการณ์โลก มาตรฐานบัญชี และเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกำกับดูแลได้มากยิ่งขึ้น
ด้าน พิมวดี พันธุมโกมล หุ้นส่วนสายงานบริการที่ปรึกษาธุรกิจ กล่าวว่า การบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจในปัจจุบันมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริหารทั่วโลกต่างจัดอันดับให้ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) เป็นประเด็นสำคัญที่สุดอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปี 2572 ขณะที่ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมขององค์กร ก็ยังส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อห่วงโซ่อุปทานและต้นทุนการดำเนินงาน ดังนั้น องค์กรควรยกระดับการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก โดยนำเครื่องมืออย่าง Scenario Analysis และ Stress Testing มาใช้ควบคู่กับแผนรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ ในส่วนของเทคโนโลยี AI แม้จะเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการควบคุมภายใน แต่ก็แฝงด้วยความเสี่ยงหลากหลาย ทั้งในด้านความถูกต้องของข้อมูล ความปลอดภัย และการละเมิดลิขสิทธิ์ ดังนั้น คณะกรรมการตรวจสอบควรมีบทบาทเชิงรุกในการผลักดันการกำกับดูแล AI (AI Governance) พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีระบบบริหารความเสี่ยงที่ครอบคลุมในทุกมิติ เช่น IT Risk, Third Party Risk, Data Governance และ Market Conduct เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
ปิดท้ายด้วยปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "The Geopolitical Outlook: Challenges and Opportunities" โดย รศ.ดร. ปณิธาน วัฒนายากร ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ ที่ได้วิเคราะห์ฉากทัศน์ภาพรวมภูมิรัฐศาสตร์โลกว่า กำลังเข้าสู่สภาวะสงครามเบ็ดเสร็จ (Total War) โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่างจีนที่กำลังผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจกับสหรัฐอเมริกา ที่ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยความขัดแย้งนี้แฝงอยู่ในรูปของสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยี ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ ห่วงโซ่อุปทาน และความมั่นคงของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แม้ว่าไทยจะไม่อยู่ในจุดความขัดแย้งโดยตรง แต่ก็ต้องพึ่งพาระบบความร่วมมือในภูมิภาคภายใต้หลักการ FAOIP และใช้อาเซียนเป็นแกนกลางในการสร้างความเข้มแข็ง ดังนั้น โอกาสของไทยในบริบทนี้คือการรักษาอำนาจป้องปราม และเร่งพัฒนาศักยภาพทางเทคโนโลยีและการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ เพื่อสร้างโครงสร้างเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงและเข้มแข็งของภูมิภาค อันจะช่วยป้องกันผลกระทบจากความขัดแย้งระดับโลก
ในช่วงท้าย ทรงเดช ประดิษฐสมานนท์ ประธานคณะกรรมการบริหาร ร่วมกับ เกษม สรุปประเด็นสำคัญจากงานสัมมนาว่า ในภาวะที่กระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดผ่านอย่างไม่แน่นอน คำถามเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญคือ เมื่อโลกเปลี่ยน ท่านจะปรับอย่างไร การตอบสนองที่เหมาะสมอาจไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน แต่คือการปรับตัวเชิงกลยุทธ์อย่างมีระบบ ผ่านการกำหนดแนวทางและวางแผนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงและโอกาสที่เกิดขึ้น โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกจากการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการตรวจสอบ ในฐานะผู้ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการ จึงควรหมั่นตั้งคำถามอย่างสม่ำเสมอ และไม่หยุดตั้งข้อสังเกต เพื่อให้ได้มาซึ่งคำตอบที่สมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือ จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าการกำกับดูแลเป็นไปอย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพสูงสุด
งานสัมมนาคณะกรรมการตรวจสอบของ EY ประจำปี 2568 ได้เสร็จสิ้นลงอย่างงดงามและประสบความสำเร็จอย่างสูงเกินความคาดหมาย โดยได้รับเกียรติจากคณะกรรมการตรวจสอบเข้าร่วมงานกว่า 440 คน ในนามของ EY ขอขอบพระคุณคณะกรรมการตรวจสอบทุกคนเป็นอย่างยิ่ง สำหรับความไว้วางใจและการสนับสนุนอันดีเสมอมา EY หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีโอกาสต้อนรับทุกท่านอีกในโอกาสต่อไป
อนึ่ง งานสัมมนาคณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee Seminar) เป็นงานสัมมนาประจำปีที่สำคัญของ EY ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองเชิงกลยุทธ์ ระหว่างคณะกรรมการตรวจสอบและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักขององค์กรที่มีบทบาทสำคัญในการกำกับดูแลกิจการ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของคณะกรรมการตรวจสอบให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และเท่าทันต่อความเสี่ยงในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การปรับกลยุทธ์การกำกับดูแลองค์กรได้อย่างมั่นใจ สร้างความแข็งแกร่ง และขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน







