กรมชลประทาน พร้อมรับมือ ความเสี่ยง ภัยพิบัติทางน้ำ ในภาวะภูมิอากาศสุดขั้ว

สมาคมนักอุทกวิทยาไทย ร่วมกับ กรมชลประทาน และสมาคมศิษย์เก่าวิศวกรรมชลประทานในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเวทีเสวนาวิชาการ “ความเสี่ยง ภัยพิบัติทางน้ำ 2025 ในภาวะภูมิอากาศสุดขั้ว” เมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2568 เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์น้ำปี 2568 ได้อย่างทันท่วงที
นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า กรมชลประทาน ในฐานะหน่วยงานปฏิบัติได้ถอดบทเรียนจาก ภัยพิบัติ ที่ผ่านมา อาทิ อุทกภัย วาตภัย ดินโคลนถล่ม และแผ่นดินไหว เพื่อนำมาปรับใช้ในการวางแผนรับมืออย่างมีประสิทธิภาพในปี 2568 กรมชลประทาน เตรียมความพร้อมทั้งเครื่องจักรและเครื่องมือ โดยติดตั้งไว้ตามจุดเสี่ยงทั่วประเทศและปฏิบัติงานได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุ พร้อมทั้งมีการคาดการณ์ปริมาณน้ำและปริมาณฝน เพื่อช่วยลดผลกระทบจากอุทกภัยในทุกพื้นที่ และแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำให้เกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบล่วงหน้าเพื่อเตรียมรับมือ
"ด้านการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำ กรมชลประทานนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ อาทิ เรดาร์ตรวจอากาศแบบ Solid-state X-band RID เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์, SWAMP แพลตฟอร์มบริหารจัดการน้ำที่ครอบคลุม 22 ลุ่มน้ำหลักทั่วประเทศ พัฒนาระบบวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลด้านการจัดการน้ำอย่างครบวงจร, rriSAT เทคโนโลยีสำหรับประเมินความต้องการใช้น้ำของพืชล่วงหน้า 7 วัน ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และยกระดับการบริหารจัดการน้ำของประเทศให้มีความแม่นยำ มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น"
นอกจากนี้ กรมชลประทาน มีเป้าหมายบริหารบริหารจัดการน้ำอัจฉริยะเพื่อความมั่นคงด้านน้ำอย่างยั่งยืน โดยปี 2580 ต้องพัฒนาพื้นที่ชลประทาน 60 ล้านไร่ จากปัจจุบัน 35 ล้านไร่ จึงเป็นเรื่องท้าทายภายใต้กรอบ RID united 8 นโยบาย 36 แนวทาง ผ่านการพัฒนาเครื่องมือชลประทานที่มีอยู่ ทั้งอาคารทดน้ำ ประตูระบายน้ำ คันกั้นน้ำ และคลองระบายน้ำกว่า 6 หมื่นกิโลเมตร
ทั้งนี้ ใน 6 เดือนข้างหน้านี้มีโอกาสเกิดทั้งภาวะน้ำท่วมและฝนทิ้งช่วง ทำให้มี 600 จุดทั่วประเทศที่ต้องระวัง กรมชลประทานได้เตรียมเครื่องจักรเพื่อให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที พร้อมทั้งขุดลอกคลอง 3,000 กิโลเมตร และกำจัดวัชพืชกว่า 7.5 ล้านตัน
"การเกิดแผ่นดินไหวไม่ส่งผลกระทบ โดยชลประทานวางโครงข่ายวัดค่าแผ่นดินไหวตามแนวเลื่อนทั้ง 16 แห่ง และวัดค่าความเร่งของพื้นดิน เพื่อนำมาใช้ออกแบบสร้างเขื่อน และวัดพฤติกรรมเขื่อนแต่ละแห่งว่าจะรับค่าเร่งได้หรือไม่"
นายสัญชัย เกตุวรชัย นายกสมาคมนักอุทกวิทยาไทย กล่าวว่า ภัยพิบัติ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกรวมทั้งไทย ทั้งแล้งจัด น้ำท่วม ดินถล่ม และแผ่นดินไหว มีรูปแบบที่เปลี่ยนไป ดังนั้น เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น สมาคมอุกทกภัย ร่วมกับ กรมชลประทาน ได้จัดเสวนาครั้งนี้เพื่อรวมรวบข้อมูล แลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์เตรียมพร้อมให้กับหน่วยงานรับผิดชอบ ซึ่งในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะมีคำถามเกิดขึ้นจากประชาชนมากมายจากความกังวลของภัยพิบัติ โดยเฉพาะน้ำท่วม การเตรียมข้อมูลไว้ล่วงหน้าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม เพื่อไม่ให้เกิดความตระหนกในฤดูฝน ว่าจะเกิดน้ำท่วม หรือฝนทิ้งช่วง ทั้งหมดนี้สมาคมฯ จะส่งข้อมูลให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้วางแผนต่อไป







