กระชากหน้ากากบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อนิโคตินคือกับดักที่เยาวชนต้องรู้เท่าทัน

กระชากหน้ากากบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อนิโคตินคือกับดักที่เยาวชนต้องรู้เท่าทัน

สสส. ร่วมสานพลังกับทุกภาคส่วนที่เป็นเครือข่ายเพื่อรณรงค์เรื่องบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องการทำให้เด็กและเยาวชนรู้เท่าทัน ของกับดักนิโคติน

แม้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่า บุหรี่ไฟฟ้า มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของสมองในเยาวชน ทำให้เกิดภาวะเสียสมาธิ ความจำเสื่อม และส่งผลต่อการควบคุมอารมณ์ นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดอาการปอดอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ แต่เยาวชนจำนวนไม่น้อยก็ยังเดินเข้าสู่วังวนหนทางมรณะนี้เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี 

กระชากหน้ากากบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อนิโคตินคือกับดักที่เยาวชนต้องรู้เท่าทัน

นั่นเพราะกลเกมของบริษัทบุหรี่ไฟฟ้าที่มักจะโฆษณาว่าปลอดภัยกว่าบุหรี่ธรรมดา เพราะมีควันน้อยกว่าหรือมีสารพิษน้อยกว่าแต่ในธุรกิจการตลาดของบุหรี่ไฟฟ้า กลับไม่พูดถึง "นิโคติน" ซึ่งเป็นสารหลักที่เป็นพิษและเป็นสารเสพติดร้ายแรง

"กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า คนรุ่นใหม่รู้เท่าทันกลยุทธ์" ซึ่งเป็นไฮไลต์สำคัญของการประชุมวิชาการบุหรี่และสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 23 ปีนี้ ที่จัดขึ้นโดยศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และภาคีเครือข่ายกว่า 23 องค์กร รวมถึง 9 เครือข่ายเยาวชน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จึงพุ่งเป้าไปสู่การชักชวนสังคม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน มาร่วมทำความเข้าใจภัยร้ายและกลยุทธ์การตลาดที่พุ่งเป้าเยาวชนของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า

กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ประเทศต่างๆ รายงานตรงกันว่า การแทรกแซงนโยบายของบริษัทบุหรี่เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการปฏิบัติตาม มาตรา 5.3 ของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) จึงกำหนดให้ประเทศภาคีป้องกันการแทรกแซงนโยบายโดยบริษัทบุหรี่หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ด้วยการห้ามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้าร่วมเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษา ในคณะกรรมการที่พิจารณาหรือกำหนดนโยบายควบคุม ยาสูบ ซึ่งที่ผ่านมามีพรรคการเมืองเสนอให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้าเป็นกรรมาธิการวิสามัญ และที่ปรึกษากรรมาธิการที่พิจารณานโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะจะทำให้รายงานของคณะกรรมาธิการฯ ขาดความน่าเชื่อถือจึงขอให้สภาฯ ได้มีการออกข้อบังคับไม่ให้มีการตั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้ามาเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในกิจการใดๆ ที่เกี่ยวกับการพิจารณานโยบายควบคุมยาสูบอีกในอนาคต

กระชากหน้ากากบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อนิโคตินคือกับดักที่เยาวชนต้องรู้เท่าทัน

"อุตสาหกรรมยาสูบพยายามแทรกแซงนโยบายอยู่เสมอ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้การควบคุมยาสูบไม่คืบหน้าเท่าที่ควร และยังมีการแจ้งในที่ประชุมว่าปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้าได้พัฒนาไปถึงขั้นที่มีกลุ่มอาชญากรรมและผู้ค้ายาเสพติดร่วมมือกันผสมยาเสพติดลงในบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งระบาดอยู่ในหลายประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ ซึ่งในประเทศที่การควบคุมสิ่งผิดกฎหมายยังเป็นปัญหาอยู่มากอย่างประเทศไทยนั้น ถือเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่ง" พร้อมกล่าวว่าในช่วง 32 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิฯ ร่วมกับทุกเครือข่ายรณรงค์ควบคุมยาสูบ สามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ 48.8% 

"แต่ยังมีผู้สูบบุหรี่อีก 9.8 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ มูลนิธิฯ จึงได้จัดทำโครงการโรงเรียนปลอดบุหรี่ เยาวชน Gen Z และอปท.ปลอดบุหรี่ ผลักดันให้ขึ้นภาษีสรรพสามิตปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้มีภาพและคำแนะนำ" ศ.นพ.ประกิต กล่าว

กระชากหน้ากากบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อนิโคตินคือกับดักที่เยาวชนต้องรู้เท่าทัน

กลยุทธ์การตลาดพุ่งเป้าที่เด็กและเยาวชน

ปัจจุบันธุรกิจ บุหรี่ไฟฟ้า ใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเป้าไปที่เยาวชนอย่างชัดเจน ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีรูปลักษณ์ที่ดึงดูดใจ เช่น ทำเป็นรูปทรงของเล่น ตุ๊กตา หรืออุปกรณ์การเรียนการสอน เพื่อหลีกเลี่ยงการจับตาจากผู้ปกครองและครู นอกจากนี้ ยังมีการผลิตบุหรี่ไฟฟ้าที่มีรสชาติหลากหลายมากกว่า 16,000 รสชาติ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายการทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้บุหรี่ไฟฟ้าแพร่หลายในหมู่วัยรุ่น โดยอาศัยความอยากรู้อยากเห็นความอยากลอง และการเลียนแบบของเยาวชน

แต่ภายใต้ความหลากหลายยั่วยวนรูปลักษณ์ภายนอกเหล่านั้น อีกสิ่งที่น่าเป็นห่วงยิ่งขึ้นคือ “น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า” ที่สอดไส้อยู่ภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิโคตินสังเคราะห์รูปแบบใหม่ มีความเข้มข้นได้สูงกว่าบุหรี่มวนหลายเท่าตัว และบางครั้งอาจสูงถึงร้อยเท่า ซึ่งจะส่งผลต่อสุขภาพเพียงใดไม่ต้องสงสัย

ศ.พญ.สมศรี เผ่าสวัสดิ์ สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ สมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ กล่าวในฐานะผู้ทำงานในพื้นที่ว่า อุตสาหกรรมยาสูบมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีการตลาดที่พุ่งเป้าไปที่เยาวชน โดยใช้รูปลักษณ์และรสชาติที่น่าดึงดูดใจ และสารหลักที่อยู่ในบุหรี่ไฟฟ้าก็คือ นิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติดที่รุนแรง และยังสามารถใส่สารอื่นๆ รวมถึงยาเสพติดลงไปได้อีกด้วย ทางสมาพันธ์จึงเรียกร้องให้รัฐบาลบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการควบคุมการตลาดบนช่องทางออนไลน์ เพราะแม้ภาคประชาชนจะสามารถลดความต้องการ (Demand) ได้ แต่ไม่มีอำนาจในการลดอุปทาน (Supply)

ด้าน นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าส่งผลกระทบที่ร้ายแรงและน่ากังวล เพราะทำให้อายุเฉลี่ยของคนลดลง 10 ปี และ อายุเฉลี่ยของการมีสุขภาพดีลดลง 8 ปี ผลที่ตามมาคือความพิการ การเป็นมะเร็ง หรือโรคปอดเรื้อรังที่อาจทำให้ต้องติดเตียงก่อนวัย ซึ่งจะเป็นปัญหาใหญ่ในระยะยาวสำหรับสังคมไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย

"นิโคตินไม่ว่าจะอยู่ในบุหรี่มวน บุหรี่ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่ออกแบบมาให้ดูน่าสนใจ ล้วนเป็นสารเสพติดที่รุนแรง เมื่อผู้ใดลองสูบแล้วมักจะติดอยู่ในวงจรการเสพ เนื่องจากนิโคตินมีคุณสมบัติที่ทำให้สมองต้องการใช้ตลอดเวลา และจะลงโทษหากไม่ได้ใช้ ผู้ที่ลองสูบถึง 70% จะเริ่มเลิกไม่ได้ และชีวิตจะสูญเสียเสรีภาพในการตัดสินใจ"

ทำให้ทาง สสส. มองว่าจำเป็นต้องระดมกำลังจากทุกภาคส่วนเพื่อร่วมมือกัน ทั้งการสื่อสารและรวมพลังจากเครือข่ายนักศึกษา (Gen Z) นักวิชาการ และภาครัฐ เพื่อวิเคราะห์ยุทธศาสตร์และจัดการกับปัญหานี้ให้หมดสิ้นไป และขอเน้นย้ำว่า สื่อมวลชนจะเป็นกำลังสำคัญ ในการช่วยกันสื่อสารให้สังคมตระหนักถึงพิษภัยที่เกิดขึ้น 

"ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ทาง สสส. จึงได้มาร่วมสานพลังกับทุกภาคส่วนที่เป็นเครือข่ายเพื่อรณรงค์เรื่องบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า สิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะทำคือการทำให้เยาวชนรู้เท่าทันและช่วยกันกระชากหน้ากาก ของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า"

บุหรี่ไม่ใช่เสรีภาพ แต่คือกับดัก

บุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้ายังพยายามทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย หรือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในสังคม 

ผู้จัดการ สสส.เผยต่อว่าจากข้อมูลจากระบบ OBEC CARE ปี 2567 สำรวจโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สสส. ได้สำรวจเด็กนักเรียนระดับ ป.1-ม.6 รวม 124,606 คน จากโรงเรียน 1,699 แห่ง ใน 30 เขตพื้นที่การศึกษา พบนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าบุหรี่มวน โดยกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเคยทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า 24.7% คบเพื่อนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 22.01% และอาศัยในชุมชนที่มีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าให้เห็นเป็นประจำ 20.2% สะท้อนว่าพฤติกรรมเสี่ยงไม่ได้เกิดจากตัวเด็กเพียงลำพัง แต่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคม และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม "เน้นย้ำว่าการสูบบุหรี่ไม่ใช่เสรีภาพ แต่เป็นการติดกับดักสารเสพติด และเมื่อเริ่มลองแล้วจะติดจนไม่สามารถเลิกได้ง่ายๆ"

พร้อมกล่าวว่า สสส. จึงได้สานพลังร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการควบคุมยาสูบทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่น และสื่อสารข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมมุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทัศนคติเชิงบวก (Denormalization) จากการ "ห้ามใช้" ไปสู่การที่เด็กและเยาวชน "ไม่อยากใช้" ด้วยตนเอง และยังมุ่งเน้นการส่งเสริมบทบาทครอบครัว โรงเรียน และชุมชนให้ร่วมกันเป็นพลังปกป้อง เด็กและเยาวชน

"ทั้งนี้ เชิญชวนทุกภาคส่วน ร่วมกันสร้างสังคมไทยที่ปลอดภัยจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตอย่างมีสุขภาวะ" ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว

กระชากหน้ากากบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อนิโคตินคือกับดักที่เยาวชนต้องรู้เท่าทัน

พลังเสียงจากเยาวชน: ขานรับไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า

ในงานประชุมวิชาการครั้งนี้ ยังมีเครือข่ายเยาวชนกว่า 12 องค์กรทั่วประเทศได้ร่วมกันแสดงจุดยืนและส่งเสียงเรียกร้องต่อผู้นำประเทศ หน่วยงานรัฐ ภาคเอกชน และสังคมไทย ให้ร่วมกันปกป้องเยาวชนจากพิษภัยบุหรี่ไฟฟ้า พวกเขามีข้อเสนอเชิงนโยบายและการขับเคลื่อนที่สำคัญ ดังนี้ 

  1. การเสริมพลังการสื่อสารของเยาวชน โดยร่วมมือกับอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังและสร้างอินฟลูเอนเซอร์รุ่นเยาว์เพื่อขยายกระแสการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง 
  2. การเปิดโอกาสให้เยาวชนมีส่วนร่วมในเชิงนโยบายและกฎหมาย มีที่นั่งและมีเสียงในเวทีทำงานควบคุมยาสูบระดับชาติ 
  3. การเฝ้าระวังและจัดการธุรกิจยาสูบและสื่อออนไลน์ โดยจัดตั้งกลุ่มเยาวชนเฝ้าระวังธุรกิจยาสูบและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง 
  4. การสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชน โดยตั้งกลุ่มแกนนำในสถานศึกษา โรงเรียน และชุมชน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมปลอดบุหรี่ไฟฟ้า และสร้างพื้นที่กิจกรรมสำหรับเยาวชน
     

ซึ่งท้ายสุดแล้ว การปกป้องอนาคตของเด็กไทยไม่ใช่แค่หน้าที่ของหน่วยงานภาครัฐ หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งแต่เป็นเรื่องที่ทุกคนในสังคมต้องร่วมมือกัน